04.การชื่นชมยินดีในความทุกข์ยาก

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะชื่นชมยินดี ยิ้มได้ หัวเราะได้ในขณะที่เรามีความทุกข์การดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ไม่มีใครเลยสักคนในโลกนี้ที่ทุกวันเวลาจะมีชีวิตที่เปี่ยมล้นด้วยความสุขตลอดและไม่มีใครเลยในโลกนี้เช่นกันที่ทุกวันเวลาจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ตลอด สุขบ้างทุกข์บ้างเป็นสิ่งที่มนุษย์เราต้องยอมรับ เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธศาสนาดังนั้นในเรื่องของความทุกข์ ชาวพุทธมีความเชื่อที่ว่า ความทุกข์ยากอยู่คู่กับมนุษย์เรามาตั้งแต่เกิด แนวความคิดในเรื่องของความทุกข์ยากก็เป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันที่ต้องเผชิญกับปัญหาของการดำรงชีพ ไม่ว่าจะเป็นความหิว ความอยากมี ความอยากเป็น ความอยากได้ ปัญหาสุขภาพร่างกายและอื่นๆ อีกมากมาย
ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยที่คนทั่วไปจะชื่นชมยินดีเมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก ความเดือดร้อน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกันที่จะผ่านพ้นความทุกข์ยากนั้นไปไม่ได้ ถ้าเราพยายามทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ นั่นก็หมายถึง ให้เราเข้าใจว่าปัญหานั้นเป็นเครื่องมือหรือเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ใช้ตรวจสอบชีวิตของเรา
ถ้าชีวิตเราอยู่บนหนทางที่เรียบง่ายมันก็จะเป็นเรื่องยากที่เราจะรู้จักตัวตนหรือตัวจริงของเราว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อเรามีปัญหาเข้ามาในชีวิต ตัวตนที่แท้จริงของเราก็จะถูกเปิดเผยออกมาทันที คนรอบข้างเรา คนที่รู้จักเราก็จะได้เห็นว่าเราเป็นคนเช่นไร ดังนั้นยิ่งมีปัญหามาก ปัญหาหนักเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เราเห็นตัวเองชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ชีวิตคนเรานั้นมีทั้งสุขและทุกข์คลุกเคล้ากันไป วันนี้ชื่นชมยินดีมีความสุข แต่พรุ่งนี้อาจจะต้องนั่งร้องไห้ คร่ำครวญเมื่อต้องเผชิญกับปัญหามากมาย เปรียบเสมือนทะเลที่ไม่ได้มีแต่ความราบเรียบสวยงามเมื่อยามที่คลื่นลมสงบ แต่บางครั้งบางคราว ทะเลก็เต็มไปด้วยคลื่นลมมรสุมที่ถาโถมกระทบฝั่งอย่างรุนแรงทุกปัญหามีทางออก เมื่อเราเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ ทำอย่างไรที่เราจะเปลี่ยนวิกฤติในสถานการณ์เลวร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ให้เป็นโอกาสที่เราจะเกิดความคิดใหม่ๆที่สร้างสรรค์ พบหนทางใหม่ที่จะขับเคลื่อนตัวเองและโน้มตัวออกไปข้างหน้าด้วยก้าวใหม่ที่มั่นใจ ดังนั้นประเด็นที่สำคัญจะไม่ใช่ปัญหาเพราะปัญหานั้นได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่เราจะตอบสนองกับปัญหานั้นอย่างไร
เคล็ดลับในการคิดที่จะก้าวผ่านปัญหาไปให้ได้ ก็อยู่ที่ว่าเราต้องคิดอยู่เสมอว่า ชีวิตเราต้องอยู่ให้ถึงวันพรุ่งนี้ ....พรุ่งนี้ และพรุ่งนี้ ดังนั้นความหวังจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้เรามีชีวิตอยู่ได้ในโลกใบนี้ ชีวิตมีล้มได้ ก็ต้องลุกได้ หมดหวังได้เราก็สร้างความหวังใหม่ได้ เราไม่ควรท้อแท้ หรือแม้แต่สิ้นหวังเมื่อมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นกับชีวิต
ให้เราคิดอยู่เสมอว่า ในการดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวัน เราไม่เพียงแต่ให้กำลังใจตัวเองเท่านั้น แต่คนที่อยู่รอบข้างเราก็ต้องการกำลังใจจากเราด้วย ถ้าเราท้อถอย หมดกำลังใจ ไม่เข้มแข็ง เราก็จะเป็นเหมือนผู้แพ้ที่มีคนกล่าวขานกันว่า แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอดจะไปช่วยเหลือ เกื้อกูล หนุนใจใครได้ ถ้าเราคิดได้ เราก็ทำได้ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ตัวเรา คนที่เรารักและรักเรา มีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมยินดีแล้ว แม้จะต้องอยู่ในความทุกข์ยากของปัญหาใดๆ ก็ตาม
การตอบสนองต่อปัญหาในแต่ละปัญหานั้น ต้องอาศัยความมุ่งมั่น ความตั้งใจ ง่ายๆก็คือให้คิดบวก คิดว่าการตอบสนองต่อปัญหานั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี ดังคำกล่าวในพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่ว่า “ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี” (ยากอบ1:2)เราไม่สามารถควบคุมว่าปัญหาจะเป็นรูปแบบไหน ยาวนานแค่ไหนที่เราต้องรับมือกับมัน แต่เราสามารถควบคุมการตอบสนองต่อปัญหาได้ ซึ่งเป็นการตอบสนองที่อยู่บนพื้นฐานพระคำของพระเจ้า ซึ่งในพระคริสตธรรมคัมภีร์มีคำกล่าวที่หนุนใจเราไว้ว่า “ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ” (โรม 5: 3-4)
เมื่อเรามีความหวัง เราจะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุขคำกล่าวข้างต้นดูแล้วมันไม่เป็นเหตุเป็นผลกันเสียเลย เพราะปัญหานั้นไม่น่าจะทำให้เรารู้สึกชื่นชมยินดีเลย และที่จริงแล้วปัญหาความทุกข์ยากก็เข้ากันไม่ได้เลยกับความชื่นชมยินดี เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะจัดการกับอารมณ์ของเราได้ตามที่ต้องการ แต่พระธรรมคำสอนในตอนนี้ ต้องการที่จะสื่อให้เราเข้าใจว่า เมื่อความทุกข์ยาก ความเจ็บปวดเข้ามาในชีวิตเรา เราต้องยอมรับกับความทุกข์ยากนั้นให้ได้ พร้อมกับให้คิดว่าความทุกข์ยากนั้นเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดี
การถือว่าปัญหาเป็นความชื่นชมยินดีนั้นไม่ได้หมายความว่า เราต้องรู้สึกมีความสุขที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต แต่เรามีความสุขเพราะว่าเราได้เข้าใจมันและหาวิธีแก้ไข และสุดท้ายเรามอบปัญหานั้นให้กับพระเจ้าพระผู้เลี้ยงของเรา กระบวนการของความคิดหรือทัศนคตินี้จะช่วยเราไม่ให้มุ่งเน้นไปที่ความทุกข์ยาก ความเจ็บปวด แต่จะให้เรามุ่งไปที่ความเชื่อและวางใจในพระเจ้า เป็นกระบวนการทีทำให้เราเติบโตทางด้านจิตวิญญาณ
ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้สอนเราไว้ว่า เมื่อชีวิตเรามั่นคง ราบรื่น ก็ให้เราเชื่อและวางใจในพระองค์ เมื่อชีวิตเราย่ำแย่ ประสบกับสิ่งเลวร้าย ก็อย่าให้เราสูญเสียความเชื่อและศรัทธา แต่ในทางตรงกันข้ามให้เราร้องทูล วิงวอนต่อพระเจ้าที่รักของเรา ที่จะช่วยกู้ให้เรามีจิตใจที่เข้มแข้ง ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ดีหรือเลวร้ายกล่าวโดยสรุปก็คือ “ให้เราขอบคุณพระเจ้าในทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา” จากชีวิตที่ดูเหมือนจะแพ้แต่จะเป็นผู้ชนะ “อย่าบอกกับพระเจ้าว่าปัญหาของเราใหญ่แค่ไหน แต่ให้เราบอกกับปัญหาว่าเรามีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่”
 
#เสียงแห่งปัญญา#voiceofwisdomรายการที่นำเสนอข้อคิด ข้อชี้แนะในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาผลิตรายการ โดย ดร.จริยา ศรมยุราติดต่อขอรับซีดี รายการวิทยุเสียงแห่งปัญญา ได้ที่ vop@voiceofpeace.orgตู้ปณ. 131 ปณจ. เชียงใหม่ 50000โทร. 053-242-654
รายการทั้งหมด