การดำเนินชีวิต การอยู่ร่วมกันกับผู้คนในสังคม ในชุมชน ในสถานที่ทำงานนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทำอย่างไร ที่เราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ สงบสุข ไม่มีปัญหาความขัดแย้งใดๆ การสื่อสารด้วยข้อมูลที่ถูกต้องตรงไปตรงมา ความเข้าใจกันถึงพื้นฐานครอบครัว ความเป็นอยู่ การศึกษา รวมถึงทัศนคติ แนวคิดจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการอยู่ร่วมกัน
มีกี่ครั้งในชีวิตของเราที่มาค้นพบในภายหลังว่าสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่รู้มานั้นไม่ใช่เรื่องจริงแต่เป็นเรื่องของการเข้าใจผิด และมีกี่ครั้งในชีวิตของเราที่ขาดความไว้วางใจผู้อื่นจนทำให้เราตัดสินกล่าวโทษผู้อื่นจากความคิด ทัศนคติของเราเอง ซึ่งความจริงแล้วสิ่งที่เรากล่าวโทษเขานั้นมันห่างไกลจากความเป็นจริงมาก
บางท่านก็อาจจะมีประสบการณ์ดังที่กล่าว เช่น อาจะเข้าใจเพื่อนผิดไป คิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี ไม่น่าไว้วางใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป รู้จักกันมากขึ้น กลับกลายเป็นว่า เขาเป็นคนดีทีเดียว
เหตุใดเราจึงไม่ควรกล่าวโทษหรือตัดสินคนอื่นโดยส่วนใหญ่แล้ว เวลาที่มีคนมาตัดสินเราโดยเฉพาะในแง่ลบเช่น มาว่ากล่าวเรา ติเตียนเรา แน่นอนว่า…เราก็จะไม่ชอบใจเท่าไรนัก แต่ถ้าคนๆ นั้นมาตัดสินเราในแง่บวก สรรเสริญ เยินยอเรา เรามักจะชอบใจ ยิ้มได้ หัวเราะได้ นี่แหละมนุษย์ ดังนั้นในเมื่อเราไม่ชอบให้คนอื่นมาตัดสินเรา กล่าวโทษเรา เราก็ไม่ควรจะไปตัดสินหรือกล่าวโทษคนอื่นเช่นกัน
มนุษย์เราทุกคนที่เกิดมาไม่มีใครสักคนที่สมบูรณ์แบบ ไม่เคยทำผิดทำพลาด ให้เราหันกลับมามองดูตัวเราเองว่าแม้ตัวเราก็ยังไม่สมบูรณ์พร้อม มนุษย์เราทุกคนนั้นมีความดีความชั่วอยู่ในตัวเอง เพียงแต่ว่ามีด้านไหนมากกว่ากัน แล้วเราจะไปตัดสินคนอื่น กล่าวโทษคนอื่นได้อย่างไร เพราะความไม่สมบูรณ์ของเราก็อาจทำให้การตัดสินของเราผิดพลาดได้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่เลวหรือดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ในคนที่ถูกกล่าวหากันว่าเป็นคนไม่ดีนั้นก็น่าจะยังมีอะไรดีๆ ที่เราสามารถหยิบยกเอาเป็นแบบอย่างได้บ้าง
ประเด็นที่พูดถึงนี้เป็นประเด็นเกี่ยวโยงกับการใช้เสรีภาพในการดำเนินชีวิต เราทำอะไร พูดอะไร เราก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ เราพูดทั้งทางกฎหมายและจริยธรรม
หากเป็นกรณีที่การกระทำนั้นเป็นความผิดที่เห็นได้ชัด และสามารถพิจารณาได้ว่าคนทั่วไปในสังคมนั้นไม่ควรกระทำ แต่คนๆ นั้นกระทำเช่น การลักทรัพย์ เป็นสิ่งไม่ดี เป็นความผิดบาป เราก็สามารถพูดได้ว่าคนๆ นั้นเป็นคนที่ไม่ดี ขาดคุณธรรมเพราะอยากได้สิ่งของที่ไม่ใช่ของตนอง ซึ่งเป็นการตัดสิน การกล่าวโทษทางด้านกฎหมายบ้านเมือง แต่ในส่วนทางจริยธรรม เราอาจจะต้องพิจารณาถึงเหตุผลที่ทำให้เขาต้องขโมย ซึ่งเขาอาจจะมีปัญหาครอบครัว เช่นไม่มีเงินซื้ออาหารให้ลูกที่กำลังไม่สบายก็ได้ ในทางพุทธศาสนาก็ผิดศีลช้อสองที่ว่าห้ามลักทรัพย์
ในบางโอกาส บางสถานการณ์ การตัดสินหรือการกล่าวโทษคนอื่น ที่มาจากหัวใจที่มีความเข้าใจ ความรัก และความเห็นอกเห็นใจนั้น เป็นสิ่งสร้างสรรค์และดีงาม เพื่อให้คนๆ นั้นมีการพัฒนาในทางที่ดีหรือที่ควรจะเป็นแต่ถ้าเราตัดสินคนอื่นด้วยหัวใจที่ไม่บริสุทธิ์ หัวใจที่เต็มไปด้วยความโกรธ อิจฉาริษยา เคียดแค้นเกลียดชัง เราก็จะกลายเป็นคนที่ตัดสิน กล่าวโทษผู้อื่นในแง่ลบ ซึ่งจะทำให้เรารับผลจากการตัดสินนั้น เพราะหลักความเชื่อของคริสตชนเชื่อว่าเราตัดสินผู้อื่นอย่างไร พระเจ้าก็จะตัดสินเราเช่นนั้น
หากเราตัดสิน กล่าวโทษผู้อื่นอย่างไม่ยุติธรรมและไม่บริสุทธิ์ใจ เราก็จะขาดความศรัทธา ความน่าเชื่อถือและในยามที่เราผิดพลาด ผลที่เราจะได้รับคือ คนที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ก็จะตัดสินเราเหมือนที่เราตัดสินผู้อื่น และมากไปกว่านั้น เรามักจะจดจ้องมองความผิดพลาดของผู้อื่น ซึ่งความจริงแล้วเป็นความบาปผิดเล็กๆน้อยๆ แต่ เราลืมมองดูตัวเองไปว่าความบาปผิดอันยิ่งใหญ่นั้นอยู่กับตัวเรา ดังคำกล่าวในพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่ว่า....“เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก” (มัทธิว 7: 3)ให้เรากลับใจใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ เลิกตัดสิน เลิกกล่าวโทษผู้อื่นด้วยใจอคติ ด้วยความไม่ยุติธรรม เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงประทานความยุติธรรมให้แก่เราในยามที่มีผู้ตัดสินเราอย่างไม่ยุติธรรม…ให้เรามาดำเนินชีวิตที่เป็นพระพร ด้วยการเลิกตัดสิน เลิกกล่าวโทษผู้อื่น แต่ให้เราเลือกที่จะให้คำแนะนำ ตักเตือนพวกเขาแทนดีกว่า
#เสียงแห่งปัญญา#voiceofwisdomรายการที่นำเสนอข้อคิด ข้อชี้แนะในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาผลิตรายการ โดย ดร.จริยา ศรมยุราติดต่อขอรับซีดี รายการวิทยุเสียงแห่งปัญญา ได้ที่ vop@voiceofpeace.orgตู้ปณ. 131 ปณจ. เชียงใหม่ 50000โทร. 053-242-654