07.การให้อภัย

ทำไมเราถึงต้องมีการให้อภัยกัน และการให้อภัยกันนั้นมีประโยชน์อย่างไรกับการดำเนินชีวิตคนทั่วไปอาจจะไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ของการให้อภัยเท่าใดนัก เพราะว่าการที่เราจะให้อภัยผู้อื่นที่กระทำผิดกับเรานั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่เราจะต้องพยายามลืมความขมขื่น ความเจ็บปวด ดังนั้นในช่วงของความรู้สึกที่เป็นอยู่นี้ จะมีกี่คนที่จะสามารถคิดอะไรๆ ออกมาในทางบวก เชิงสร้างสรรค์ได้ นั่นหมายความว่าจะมีซักกี่คนที่คิดว่า การให้อภัย แท้จริงแล้วมีประโยชน์สร้างคุณค่าของความเป็นมนุษย์แก่ผู้ให้อภัยการให้อภัยกันนั้นมีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของเรา ผลดีของการให้อภัยก็คือ ผู้ที่ให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายนั้นโดยทั่วไปแล้วจะเป็นคนที่มีใจถ่อม เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เป็นคนที่มีนิสัยพูดง่ายไม่เรื่องมาก พูดได้ว่าเป็นคนที่โกรธง่ายหายเร็ว ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่เก็บกดโดยนำเรื่องต่างๆ ในแต่ละวันมาครุ่นคิด การให้อภัยจึงเป็นเสมือนภูมิคุ้มกันโรคทางจิตก็ว่าได้ ทำให้ตัวผู้ให้อภัยเองนั้นได้ปลดปล่อย ก็คือทำให้มีสุขภาพจิตที่ดี เมื่อมีสุขภาพจิตที่ดี มองอะไรก็ดูจะสวยงามไปหมด สามารถมีชีวิตด้วยความชื่นชมยินดีได้แม้ต้องเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ยาก ดำเนินชีวิตด้วยความตั้งมั่น มีสติอยู่เสมอ อย่างที่เขาพูดกันว่า สติมา ปัญญาเกิด
มีคนจำนวนมากที่ไม่รู้จักการให้อภัยผู้อื่น หรือยากมากกว่าจะให้อภัยใครสักคนได้ บางคนเก็บความเกลียดชัง ความไม่พอใจ ไว้กับตัวเองเป็นปีๆ
คริสตชนเชื่อว่า พระเจ้าเป็นพระผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ จักรวาล แผ่นดินโลกที่เราอยู่ รวมถึงธรรมชาติ สัตว์และมนุษย์เรา พระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นมาตามพระฉายาของพระองค์ ซึ่งมนุษย์แต่ละคนนั้นก็มีธรรมชาติที่ไม่เหมือนกัน อุปนิสัยใจคอ ทัศนคติ การตัดสินใจ ของประทานหรือพรสวรรค์ ทักษะพิเศษของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน มนุษย์เรานั้นไม่สมบูรณ์ สามารถทำผิดพลาดได้ ถูกล่อลวงให้ตกในอบายมุขสิ่งไม่ดีก็มีมาก ความรู้สึกไม่ชอบ ไม่รัก ไม่พอใจก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีการให้อภัยซึ่งกันและกัน
สำหรับคนที่ไม่สามารถให้อภัยใครได้เลย หรือยากมากที่จะให้อภัยผู้อื่นนั้น เราต้องมองเขาด้วยความเมตตา เพราะคนกลุ่มนี้จะดำเนินชีวิตที่ขาดสันติสุขในใจอย่างแท้จริง บางวันเขาอาจจะชื่นชมยินดีกับสิ่งต่างๆ รอบข้าง แต่เมื่อใดที่นึกถึงคนที่อยู่ในใจ คนที่เขามาขอโทษเราแล้ว แต่เรายังโกรธยังไม่ให้อภัยเขา คนๆ นั้นก็จะครุ่นคิด โมโหขึ้นมาอีก ชีวิตก็จะอยู่ในวังวนที่นำเอาเรื่องที่ไม่ดีในอดีตมาคิด ดังนั้นพื้นที่ในสมองของเขาที่จะคิดอะไรที่สร้างสรรค์ๆ ก็ลดน้อยลงไป การไม่ให้อภัย การเก็บความโกรธไว้ในใจ ถือว่าเป็นการทำร้ายตัวเองก็ว่าได้
ในช่วงเวลาที่เรามีความโกรธ ความทุกข์ ความเจ็บปวดที่คนอื่นทำให้เราเดือดร้อนเสียหายนั้น แทนที่เราจะโต้ตอบกลับไปด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียว ด้วยความสะใจที่ต้องการจะเอาชนะ แต่เรากลับตอบสนองปัญหานั้นด้วยการให้อภัย ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ให้เรามองคนรอบข้างด้วยสายตาของความเมตตามากขึ้น ซึ่งก็รวมถึงคนที่ทำให้เราโกรธด้วย พุทธศาสนาจะเน้นมากในเรื่องของความเมตตาและการให้ทาน การให้ทานนั้นก็จะทำให้เราได้สละความโกรธ ความเกลียดออกไปจากใจ ซึ่งเรียกกันว่า อภัยทาน ตัวอย่างเช่น เพื่อนเราคนหนึ่งทำผิดต่อเรา และเราก็โกรธเขามากๆ แต่มาวันหนึ่งเขาได้มาขอโทษเรา และเราก็เห็นว่าเขาสำนึกผิดคิดได้แล้ว เราก็เกิดความเมตตาจึงยกโทษให้เขา นี่แหละที่เรียกว่า การให้อภัย ท่านมหาตมะคานธี มหาบุรุษชื่อดังคนหนึ่งของโลก ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า “คนอ่อนแอไม่เคยให้อภัย การให้อภัยเป็นคุณลักษณะของคนเข้มแข็ง”
ให้เรามาลองคิดกันดูว่า หากเราให้ความรัก ความไว้วางใจ ช่วยเหลือใครสักคนหนึ่งด้วยความจริงใจ แต่ภายหลังกลับถูกคนๆ นั้นทำร้ายจิตใจ เช่น พูดถึงเราในทางที่เสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง จนเราต้องได้รับความอับอาย เราจะให้อภัยเขาคนนั้นได้มั้ย คำตอบก็มีหลากหลาย บางคนอาจจะกล่าวว่าสามารถให้อภัยได้ แต่คนนั้นต้องได้รับโทษเสียก่อน บางคนก็บอกว่าให้อภัยได้ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่โตทำให้ต้องเสียชื่อเสียงกันนั้น ต้องคิดหนักหรืออาจจะให้อภัยกันไม่ได้เลย บางคนก็บอกว่าเป็นสิ่งดีที่จะให้อภัยกัน เพราะเป็นการแสดงออกของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข จะช่วยให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
หลายต่อหลายคนยังคงมีชีวิตอยู่ในวังวน ในวัฏจักรของความโกรธ ความเคียดแค้นต่อสิ่งที่ถูกกระทำ รู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจ คิดว่าควรจะแก้แค้น หรือนิ่งไว้ดีกว่า รอให้กรรมตามทันหรือให้พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาเค้าเองจะดีกว่า ทำอย่างไรที่จะปลดปล่อยความโกรธ ความแค้น ให้กลายเป็นความชื่นชมยินดี?ให้คิดอยู่เสมอว่า…การให้อภัยทำให้ผู้ให้อภัยได้รับการปลดปล่อยจากความรู้สึกที่ขมขื่นให้กลับกลายเป็นความชื่นชมยินดีและมีสันติสุขในใจ พูดง่ายๆ ก็คือ เราจะมีความสุขจากการให้อภัย
ในเรื่องของการให้อภัยนี้ แม่ชีเทเรซ่าได้สอนว่า “เพื่อที่จะให้อภัยใครบางคนที่ทำให้เราปวดร้าว เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่กับผู้ที่เคยทำให้เราผิดหวัง เพื่อที่จะคงความเสียสละไว้แม้เคยถูกหลอกลวง เหล่านี้แม้หากจะเจ็บปวด แต่เป็นการให้อภัยและเป็นรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว”
และในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้สอนเราไว้เช่นกันว่า “และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น” (เอเฟซัส4: 32)
“เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่านเหมือนกัน” (มัทธิว 6:14-15)
 
#เสียงแห่งปัญญา#voiceofwisdomรายการที่นำเสนอข้อคิด ข้อชี้แนะในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาผลิตรายการ โดย ดร.จริยา ศรมยุราติดต่อขอรับซีดี รายการวิทยุเสียงแห่งปัญญา ได้ที่ vop@voiceofpeace.orgตู้ปณ. 131 ปณจ. เชียงใหม่ 50000โทร. 053-242-654
รายการทั้งหมด