15.เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม

ในสังคมปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่าผู้คนจะมีหัวใจที่สดชื่น ร่าเริงน้อยลงทุกทีๆ แม้ว่าชีวิตเรานั้นมีแทบจะทุกอย่างแล้ว เงินทอง หน้าที่การงานก็มีและดีพร้อม ความสะดวกสบายก็มีมาก แต่ทำไมสิ่งเหล่านั้นจึงยังไม่สามารถเติมเต็มความสุขให้เราได้ ปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่มีการแข่งขันสูงในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียน การทำงานก็เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนมากมายในสังคม ในชุมชนที่เราอยู่จึงต้องมุ่งมั่นทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง โดยลืมไปว่ายังมีผู้คนรอบข้างที่อยู่ร่วมกับเรา คนจำนวนมากมายเช่นกันที่นึกถึงแต่ตัวเองซึ่งหลายต่อหลายครั้งทำให้สังคมชุมชนต้องเดือดร้อนและก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาซึ่งเป็นสาเหตุหรือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การดำเนินชีวิตของเราขาดความสุขและสันติสุขในใจ
บางคนอาจจะคิด ในบางครั้ง บางโอกาสว่าทำไมเราจะต้องไปคิดถึงคนอื่นด้วย เรามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ เราก็ต้องรับผิดชอบดูแลตัวเอง คนอื่นๆ เขาก็ต้องการดูแลตัวของเขาด้วย ต่างคนต่างรับผิดชอบตนเอง มันก็ถูกต้อง แน่นอนและเป็นความจริงที่ว่า โดยทั่วไปแล้วคนเราก็ต้องคิดถึงตัวเองก่อนไม่ว่าจะคิดจะพูดจะทำอะไร ก็ต้องคิดเห็นประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก แต่ถ้าการคิดถึงแต่ตัวเอง ทำอะไรก็เพื่อตัวเองที่มากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึก จิตใจคนอื่นเขาเลยก็ไม่ดี และในความเป็นจริงของชีวิตแล้ว เราก็ไม่สามารถอยู่โดยลำพังในสังคมในชุมชนได้ ถ้าเราต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างอยู่ หากเราไม่ช่วยเหลือกัน ไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เห็นใจซึ่งกันและกัน แล้วจะอยู่กันอย่างไรอย่างสันติและมีความสุข การดำเนินชีวิตในแต่ละวันดูเหมือนว่าจะง่าย เพราะเรามีเสรีภาพจะทำอะไรก็ได้ แต่สำหรับคนบางคนไม่ง่ายเลยที่จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นด้วย ...อย่างไรที่จะถือว่าเราเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัวเอง ไม่มุ่งเน้นที่จะหาประโยชน์เข้าตัวเป็นหลัก
ให้เราลองพิจารณาดูว่าในการดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวัน เราเป็นผู้ให้หรือผู้รับมากกว่ากัน การมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ภาระของตัวเองนั่นถือว่าดีอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ดีไปกว่านี้ก็คือ ให้เราถามตัวเราเองว่า เรามีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การทำงานในภาพรวมขององค์กรที่เราทำอยู่หรือไม่ ซึ่งก็รวมไปถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ประเทศชาติด้วย หรือเพียงแต่คิดว่า ทำเพียงหน้าที่ ความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายก็พอแล้ว ใครในครอบครัว ในองค์กร เพื่อนร่วมงานขอความช่วยเหลือในการทำงานก็ละเลย ให้เหตุผลว่าไม่ว่างเพราะคิดเพียงว่าไม่ใช่งานของตน แต่ลืมคิดไปหรือไม่ว่า เป็นงานขององค์กรที่ต้องขับเคลื่อนให้สำเร็จถึงเป้าหมาย คนมากมายในสังคม ในองค์กร หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่อยู่ในกลุ่มของพวกที่เห็นแก่ตัวดังที่กล่าวมาข้างต้น เรียกได้ว่าเป็นคนที่ไม่มีจิตสาธารณะ ไม่มีจิตใจของความเกื้อกูลกัน หรืออาจจะเกื้อกูลกันเพียงแค่คนที่รักที่ชอบเท่านั้น แต่เมื่อคิดจะลุกขึ้นมาเกื้อกูลหรือให้ใครสักคน ก็จะคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองเป็นสำคัญ
จากประสบการณ์ของการเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือที่เรียกกันจนคุ้นว่าเอแบค ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในประเทศไทย นักศึกษาแต่ละคนก็จะมาจากครอบครัวที่แตกต่างกัน ถูกหล่อหลอมจากสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ดังนั้นบุคลิก นิสัยใจคอ ทัศนคติในการมองโลก และสิ่งรอบตัว แน่นอนว่าย่อมแตกต่างกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวกับการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมส่วนใหญ่แล้วนักศึกษาที่เคยสอนในรั้วมหาวิทยาลัยก็ล้วนแต่เป็นเด็กดีที่มีน้ำใจกัน มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างเช่น วิชาใด หรือ บางช่วงบางตอนของวิชาที่เขาเรียนแล้วไม่เข้าใจ เขาก็จะมีการติวหรือช่วยสอนกัน ซึ่งก็เป็นภาพที่สวยงามและน่ารักมาก ที่แสดงให้เห็นว่าในสังคมเราทุกวันนี้ยังมีสิ่งดีๆ ที่มอบให้แก่กัน ไม่คิดเอาตัวรอดคนเดียว เพื่อนจะไม่เข้าใจก็เรื่องของเขาไม่ใช่ปัญหาของเรา
ถ้าคนส่วนใหญ่คิดถึงแต่ตัวเอง แล้วคนที่ด้อยโอกาส คนที่อ่อนแอ จะยืนกันอยู่ที่ไหนในสังคม การช่วยเหลือดังกล่าวถือว่าเป็นการให้อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ช่วยสร้างความสุขให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ก็มีบ้างที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียวเพื่อที่จะให้ได้เกรดดีๆ โดยไม่คำนึงถึงเพื่อนฝูงเลย แม้เพื่อนจะขอให้ช่วยอธิบาย ให้ช่วยสอนก็บอกว่าไม่มีเวลา และเมื่อเป็นอย่างนี้บ่อยครั้ง นักศึกษาที่คิดว่าปัญหาของคนอื่นไม่ใช่ของตัวเองก็จะจบลงด้วยการเดินคนเดียว เรียนคนเดียว ทานข้าวคนเดียวซึ่งเขาก็อาจจะมีความสุขที่บรรลุถึงเป้าหมายส่วนตัวที่ตั้งไว้ เราไม่สามารถไปตำหนิติเตียนเขาได้ แต่ถ้ามองให้ไกลกว่านั้นถึงอนาคตในการทำงาน ในการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ใหญ่ขึ้น จะเป็นสิ่งที่ดีถ้าได้มีการฝึก เตรียมชีวิตและจิตใจเพื่อช่วยเหลือ เกื้อกูลผู้อื่นบ้าง อย่าเพียงแต่คิดถึงประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ให้หันมามองคนรอบข้างบ้าง โดยเฉพาะคนที่ด้อยโอกาสกว่าเรา เป็นการแบ่งปันความรักให้ผู้อื่น จะได้มีความสุขทั่วหน้ากัน การที่เราจะอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุขและมีสันติสุขนั้นไม่ยาก ไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกใดๆ เพียงแต่ให้เรามีหัวใจของการเป็นผู้ให้ นั่นหมายถึงจะต้องมีความรักให้กับผู้อื่น ถือว่าเป็นปัจจัยภายในที่เราสามารถควบคุมได้เพราะเริ่มจากตัวเราเอง
การเป็นผู้ให้ในประเด็นเรื่องราวนี้ก็คือ การเป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมหรือเห็นแก่ผู้อื่น เราจะเห็นได้ว่ามีหลักคำสอนมากมายในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงการเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นหรือส่วนรวม เช่นคำสอนที่ว่า “เรา​ทำ​ทุก‍สิ่ง​ได้ แต่​ไม่​ใช่​ทุก‍สิ่ง‍นั้น​จะ​เป็น​ประ‌โยชน์ เรา​ทำ​ทุก‍สิ่ง​ได้ แต่​ไม่​ใช่​ทุก‍สิ่ง‍นั้น​ทำ​ให้​เจริญ‍ขึ้น อย่า​ให้​ใคร​เห็น​แก่​ประ‌โยชน์​ส่วน‍ตัว แต่​จง​เห็น​แก่​ประ‌โยชน์​ของ​คน‍อื่นๆ” (1 โครินธ์ 10:23-24) และอีกคำสอนหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า "อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย" (ฟิลิปปี 2:4) ซึ่งสิ่งนี้สอดคล้องกับคำสอนของพระเยซูที่ว่าให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
คริสตชนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมาตามแบบของพระองค์ เมื่อเราเป็นลูกของพระองค์นั่นหมายถึง เราได้รับการสร้างใหม่ เป็นคนใหม่ที่มีชีวิตและจิตใจใหม่ มีความคิดใหม่ ทัศนคติใหม่ ที่เต็มไปด้วยความรักของพระเจ้า มีใจที่ไม่เห็นแก่ตัว แต่มีใจที่เต็มไปด้วยการแสวงหาที่จะรับใช้ผู้อื่น นับจากวันนี้อย่าให้เราได้ยึดติดและสนใจกับปัญหาของตัวเองจนลืมที่จะเห็นใจ เกื้อกูลคนที่มีความทุกข์รอบตัวเรา ขอให้เราได้มีชีวิตและใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีคุณค่า และทำประโยชน์ให้กับสังคมบ้าง เชื่อว่าสันติสุขที่เกินความเข้าใจจะครอบครองจิตใจทุกคน
 
#เสียงแห่งปัญญา#voiceofwisdomรายการที่นำเสนอข้อคิด ข้อชี้แนะในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาผลิตรายการ โดย ดร.จริยา ศรมยุราติดต่อขอรับซีดี รายการวิทยุเสียงแห่งปัญญา ได้ที่ vop@voiceofpeace.orgตู้ปณ. 131 ปณจ. เชียงใหม่ 50000โทร. 053-242-654
รายการทั้งหมด