การดำเนินชีวิตด้วยปัญญาเป็นชีวิตที่ประเสริฐ นักปราชญ์ ศาสดาทั้งหลายของแต่ละศาสนาก็ล้วนแต่กล่าวกันว่า ผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญานั้น เป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด เพราะปัญญาเปรียบเสมือนแสงสว่างหรือเป็นดวงประทีปในโลก ปัญญานั้นจะมีประโยชน์ต่อชีวิตของเราก็ต่อเมื่อเรานำปัญญานั้นไปใช้ในทางที่ถูกต้อง ถูกทำนองครองธรรม ไม่ใช่ในทางฉลาดแกมโกง ไม่ใช่ฉลาดในการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
พระธรรมสุภาษิต บทที่ 1 ข้อที่ 1-5 ได้กล่าวเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาไว้ว่า “บรรดาสุภาษิตของซาโลมอน ผู้เป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลและโอรสของดาวิด เพื่อให้รู้จักปัญญาและการสั่งสอน เพื่อให้เข้าใจถ้อยคำแห่งความรอบรู้ เพื่อรับการสั่งสอนให้ฉลาดในเรื่องความชอบธรรม ความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม เพื่อให้ความสุขุมแก่คนรู้น้อย ให้ความรู้และความเฉลียวฉลาดแก่คนหนุ่ม คนมีปัญญาจะได้ยินและเพิ่มพูนการเรียนรู้และคนที่มีความเข้าใจจะได้การชี้แนะ”เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ทำให้เรารู้ว่าคนยิวกับคนไทยมีความคล้ายคลึงกันด้านภาษา จะเห็นได้ว่ามีสุภาษิต คำคม กลอน อุปมาอุปไมยที่เหมือนกัน เพื่อนำมาใช้สอนในการดำเนินชีวิตของมนุษย์เรา พระธรรมสุภาษิตที่กล่าวถึงในข้างต้นนั้น เป็นพระธรรมเล่มหนึ่งในพระคัมภีร์เดิมซึ่งคริสตชนใช้ยึดถือเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ส่วนใหญ่พระธรรมสุภาษิตเขียนขึ้นโดยกษัตริย์ซาโลมอน ซึ่งพระองค์เป็นผู้ที่มีสติปัญญามากมายในสมัยโบราณ
จากประวัติศาสตร์เรารู้ว่าพระเจ้าทรงรักชนชาติอิสราเอล และทรงประทานสติปัญญาให้แก่พวกเขามากมาย ที่พูดถึงสติปัญญาซึ่งกล่าวในพระธรรมสุภาษิต มิใช่เป็นสติปัญญาธรรมดาๆ แบบที่ผู้คนในโลกทั่วไปเข้าใจกัน แต่เป็นสติปัญญาที่เราได้รับจากพระเจ้าในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันดังนั้นพระธรรมสุภาษิตที่กษัตริย์ซาโลมอนทรงเขียนขึ้นนั้นจึงเป็นสุภาษิตที่มีเป้าหมายเพื่อการดำเนินชีวิตที่ดีและถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ว่า “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28) ไม่ว่าภาระที่เราแบกอยู่คืออะไร หนักแค่ไหน พระบุตรของพระเจ้าคือ พระคริสต์จะรับภาระหนักของเราไป พระคริสต์เป็นพระเจ้าผู้ทรงรักเราด้วยความรักอันมั่นคง พระองค์ทรงเข้าใจความทุกข์ยากของเรา ให้เราวางใจได้ว่าพระองค์จะทรงจัดเตรียมให้เราได้พักผ่อน พักสงบ ซึ่งเราไม่สามารถหาหรือทำได้ด้วยตนเอง พระองค์ทรงเป็น “ที่หลบภัยสำหรับผู้แบกภาระหนัก” ผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างผู้มีปัญญานั้นความจริงแล้วก็มีองค์ประกอบหลายอย่าง
ชีวิตของคนเราในโลกนี้ไม่ได้อยู่เพียงแค่ตัวเราคนเดียว ยังมีคนอื่นอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรา ดังนั้นเพื่อให้เราอยู่กันอย่างมีความสุขและสันติ เราจึงต้องดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญา ให้เรามีน้ำใจที่พร้อมจะเกื้อหนุนช่วยเหลือผู้อื่น แม้ว่าเราไม่ทราบว่าจะเกิดผลอย่างไรก็ตามแต่สิ่งที่เรามั่นใจได้ก็คือ ความดีงามที่ได้หว่านลงไปนั้นจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน และสิ่งที่สำคัญก็คือ เราทำสิ่งที่ดีไม่ใช่เพื่อหวังผลตอบแทน แต่ทำดีเพราะเป็นคุณลักษณะของผู้ที่ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา ผู้ที่ดำเนินชีวิตด้วยปัญญาดังกล่าวนี้ก็จะต้องเป็นคนที่เห็นคุณค่าของเวลาในแต่ละวัน ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตที่มีคุณค่าแก่ตัวเองและคนรอบข้าง เวลาทุกคนมีเท่ากัน ทำทุกๆ วันให้เป็นวันที่ดีที่สุด และทำวันนี้ให้ดีโดยมีความรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต
การที่เราอยู่ด้วยปัญญาหรือดำเนินชีวิตอย่างมีปัญญานั้นจะเห็นว่า เราไม่จำเป็นจะต้องร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ไม่จำเป็นต้องมีบ้านหรูหราใหญ่โต มีรถหลายคัน ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งงานที่ใหญ่โต ไม่จำเป็นต้องกินอาหารแพงๆ ใส่เสื้อผ้ารองเท้าราคาแพงๆ เราก็อยู่อย่างมีความสุขได้ เพราะปัญญาจะสอนให้เรารู้จักคิดอย่างฉลาดในการดำเนินชีวิตได้
ในพระธรรมสุภาษิตบอกเราว่า “ปัญญาเป็นเหมือนความหวานของน้ำผึ้งบนลิ้น” (สุภาษิต.24:13-14) เช่น เราต้องรู้จักการดำเนินชีวิต รู้จักการอยู่ให้เป็น…ไม่เบียดเบียนกัน ช่วยกันทำประโยชน์ให้กับสังคมและตนเอง รู้จักทำ…ก็หมายถึงการทำงานสุจริตไม่ผิดกฎหมายและผิดศีลธรรมและต้องมีความขยันหมั่นเพียรด้วย รู้จักใช้…เราจะต้องเป็นคนที่ไม่ฟุ่มเฟือย อยู่อย่างพอเพียง ไม่เล่นการพนัน รู้จักกิน...ให้เรากินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ดื่มหรือเสพสิ่งเสพติด
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่ประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด โดยท่านได้ทรงเน้นย้ำถึงแนวทางการแก้ไขเพื่อให้พวกเราคนไทยสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในโลกปัจจุบันนี้ “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต การปฎิบัติตามแนวคิดนี้ผู้ปฏิบัติจะต้องมี “สติ ปัญญา และความเพียร” ซึ่งจะนำไปสู่ “ความสุข” ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง
ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ มีพระธรรมตอนหนึ่งได้สอนเราไว้ว่า “จงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา” (เอเฟซัส 5:15) ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสตชนนั้น บางคนก็ไม่ได้ดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า นั่นหมายถึง ยังมีการดำเนินชีวิตที่อยู่ในความผิดบาปอยู่เรื่อยๆ ไม่เพียงแต่สร้างความเดือดร้อนให้ตนเองและครอบครัว แต่ยังแผ่ขยายไปถึงส่วนรวมอีกด้วย คริสตชนเชื่อว่าพระเจ้าปรารถนาให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตอย่างผู้มีปัญญา เพื่อให้ผู้เชื่อได้ดำเนินชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า “ปัญญาได้รับการยกย่องว่าเป็นสมบัติที่ควรแสวงหา ดีกว่าความมั่งคั่ง” ซึ่งปัญญานั้นก็จะมาจากการอ่านพระคัมภีร์ และปฏิบัติตามพระเยซูที่ทรงเป็นแบบอย่างให้แก่เรา ดังนั้นให้เราแสวงหาปัญญาเพราะมีค่ายิ่งกว่าเงินหรือทอง
#เสียงแห่งปัญญา#voiceofwisdomรายการที่นำเสนอข้อคิด ข้อชี้แนะในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาผลิตรายการ โดย ดร.จริยา ศรมยุราติดต่อขอรับซีดี รายการวิทยุเสียงแห่งปัญญา ได้ที่ vop@voiceofpeace.orgตู้ปณ. 131 ปณจ. เชียงใหม่ 50000โทร. 053-242-654