มนุษย์กับความกลัวเป็นเรื่องธรรมชาติ ความกลัวมีหลากหลายแตกต่างกันไป บางคนก็กลัวว่าจะยากจน บางคนก็กลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิติเตียน บางคนก็กลัวว่าจะมีโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรง บางคนกลัวว่าจะสูญเสียคนรัก และก็หลายคนที่กลัวความตาย
แท้จริงแล้ว ความกลัวเป็นสภาวะจิตอย่างหนึ่งที่เราสามารถที่จะบังคับและควบคุมมันได้ คนเราทุกคนนั้นสามารถที่จะควบคุมจิตใจของตนเองไว้ได้ทั้งสิ้น สามารถที่จะเปิดจิตใจของตนเองออกรับความคิดจากใครก็ได้หรือปิดไว้ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นจึงก่อตัวขึ้นจากรูปในความคิดทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน เราก็จะต้องควบคุมความกลัวที่เกิดขึ้นด้วยเมื่อความคิดของเราโน้มเอียงไปในทางก่อรูปร่างขึ้น หากเราต้องการความสำเร็จ เราก็ต้องปฏิเสธสิ่งแวดล้อมที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวหรือความกลัวให้ได้
เมื่อเราต้องเผชิญกับสถานการณ์ในชีวิตที่ไม่แน่นอนว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตเราในวันพรุ่งนี้ เช่นตัวอย่างของเพลงบางเพลงในเรื่องของความรัก บอกเราว่าชายคนหนึ่งกำลังเผชิญกับความกลัว กลัวว่าคนที่เขารักจะไม่รักตอบ เพราะเธอคนนั้นมีโอกาสที่จะเลือกคนที่เข้ามาในชีวิต และเมื่อเราขาดกำลัง รู้สึกท้อถอย สิ้นหวัง ดูเหมือนจะแพ้
บ่อยครั้งที่เรากลัวอนาตและสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา บางครั้งเรากลัว ทำให้ "วิญญาณแห่งความกลัว" นี้เข้าครอบงำเรา คริสตชนเชื่อว่าการที่เราจะเอาชนะความกลัวนั้นเราต้องให้ความไว้วางใจในพระเจ้า เมื่อใดที่เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่จริง ฤทธิ์อำนาจการปกป้องและการเลี้ยงดูของพระองค์เป็นจริงเมื่อนั้นเราจะสามารถชื่นชมยินดีแม้ว่าเราต้อเผชิญกับความกลัวพระองค์ทรงรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีก พระองค์ทรงล่วงรู้ว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในชีวิตของเรา และพระองค์ทรงสามารถที่จะอยู่ที่นั่นกับเราได้ ถ้าเราเลือกที่จะให้พระองค์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา พระองค์ทรงบอกกับเราว่าพระองค์ทรงเป็น “ที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก” แต่เราจำเป็นต้องพยายามอย่างจริงใจที่จะแสวงหาพระองค์วิญญาณแห่งความหวาดกลัวและความขี้ขลาดไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ดังพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่กล่าวว่า “ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย เพราะความกลัวเข้ากับการลงโทษและผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์” (1 ยอห์น 4:18 )แต่ก็ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบและพระเจ้าทรงรู้เรื่องนี้ นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ได้ทรงประทานกำลังใจให้เราต่อสู้กับความหวาดกลัว ในพระคัมภีร์ เริ่มต้นในหนังสือปฐมกาลและต่อเนื่องตลอดจนถึงหนังสือวิวรณ์ พระเจ้าทรงเตือนเราว่า "อย่ากลัวเลย"ชีวิตที่ดูเหมือนจะแพ้แต่กลับชนะ เป็นชัยชนะเหนือความกลัว และที่สำคัญเป็นชัยชนะที่คุณผู้ฟังต้องมีองค์พระเยซูคริสต์เดินเคียงข้างไปด้วย แล้วเราจะดำเนินชีวิตที่จะไม่กลัวในสิ่งใดๆเลย เพราะพระเยซูคริสต์พระองค์จะเป็นพลังและนำเราในทุกก้าวเดิน
พูดถึงความกลัวแล้ว ให้เราเข้าใจว่าความกลัวไม่ได้ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด แต่ความกลัวนั้นเกิดจากความคิดทางสมองของมนุษย์ เป็นความคิดที่มนุษย์เรานั้นคิดสร้างขึ้นมาเอง หรือพูดได้ว่าเกิดจากการจินตนาการของเรา ความกลัวนั้นก็คือความรู้สึกหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่เรารู้สึกไม่มั่นใจ เช่น ไม่มั่นใจว่าสอบแล้วจะผ่านมั้ย ไม่มั่นใจว่าทำไปแล้วจะปลอดภัยหรือไม่มีเรื่องจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่คนจำนวนมากมายรู้จักกันดี เป็นเรื่องของสาวกของพระเยซูที่อยู่กลางทะเลสาบกาลิลีและกำลังเผชิญกับพายุแรงโหมกระหน่ำ ทำให้พวกเขา กลัวมาก เขาจึงรีบปลุกพระเยซูให้ตื่นจากหลับ แล้วพระเยซูก็ได้ห้ามพายุ ทำให้ทุกอย่างสงบลงในที่สุด
ในเรื่องนี้ต้องการบอกความจริงที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเกี่ยวกับเรื่องของความกลัว เราทราบกันดีว่าสาวกของพระเยซูซึ่งเคยเดิน เคยกิน เคยนอนกับพระองค์มาตลอด และที่สำคัญพวกเขาก็เคยเห็นการอัศจรรย์ของพระองค์มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่พวกเขาก็ยังกลัวเลย ดังนั้นเราก็เป็นคนธรรมดาๆ ความกลัวเข้ามาในชีวิตเราจึงเป็นเรื่องธรรมดา
ความกลัวในชีวิตของเราไม่ใช่ความผิด แต่การตัดสินใจในยามที่เรากลัวนั้น จะมีผลกระทบต่อชีวิตของเรา บุคคลในพระคัมภีร์มากมายล้วนแต่มีความกลัวกันทั้งนั้น แต่การตัดสินใจในขณะที่พวกเขาเกิดความกลัวนั้น ทำให้เราเห็นว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนที่เชื่อฟังพระเจ้า และไว้วางใจในพระองค์ จะเห็นได้ว่าพวกเขากล้าที่จะเผชิญกับความกลัว
บางคนอาจจะกลัวว่าจะเรียนจบมั้ย จบแล้วจะทำงานอะไร ที่ไหน บางคนก็กลัวว่าถ้าเรียนไปด้วย มีแฟนไปด้วยก็จะทำให้เรียนไม่จบ ในยามที่เรากลัวและรู้สึกวิตกกังวล ก็ให้เรานึกถึงพระคำของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์บอกเราว่า อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาดเพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้าดังนั้นเมื่อเราต้องเผชิญกับความกลัว ก็ต้องตัดสินใจที่จะเลือกเดินไปกับพระเยซู เชื่อในพระองค์และวางใจในพระองค์ แล้วความกลัวจะไม่เป็นสิ่งกีดขวางพระพรในชีวิตอีกต่อไป
พระคริสตธรรมคัมภีร์หนุนใจเราไว้ว่า “เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ ความรัก และการบังคับตนเองให้แก่เรา” (2 ทิโมธี 1:7) พระองค์บอกกับเราว่าจงอย่าได้กลัวเลย องค์พระเยซูคริสต์จะอยู่กับเราทุกเวลา จะป้องกันอันตรายให้กับเราแม้ในคืนที่มืดมิด เราก็จะไม่กลัวสิ่งใด…… แม้ว่าจะหนาวจะร้อนเพียงใด เราก็จะมีพระองค์อยู่ข้างกาย เราจะมีพระองค์เป็นผู้ทรงนำชีวิตของเรา ซึ่งเราจะก้าวตามและไม่หวั่นไหว
ให้เราคิดอยู่เสมอว่าในความมืดมิดมีแสงสว่าง ในความอ้างว้างยังคงมีความหวัง เพราะเรารู้ว่าพระองค์จะเป็นพลังและจะนำทางเราพบกับสันติสุขและความชื่นชมยินดี
#เสียงแห่งปัญญา#voiceofwisdomรายการที่นำเสนอข้อคิด ข้อชี้แนะในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาผลิตรายการ โดย ดร.จริยา ศรมยุราติดต่อขอรับซีดี รายการวิทยุเสียงแห่งปัญญา ได้ที่ vop@voiceofpeace.orgตู้ปณ. 131 ปณจ. เชียงใหม่ 50000โทร. 053-242-654