ความยุติธรรมเป็นตัวกำหนดทิศทางของสังคม ความยุติธรรมของแต่ละสังคมไม่เหมือนกัน เช่น หากสังคมหนึ่งทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า การขโมยของเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องถือว่ายุติธรรม ถ้ามีใครลุกขึ้นมาขโมยของผู้อื่น เช่น รถยนต์ คนๆ นั้นก็เป็นคนที่ไม่ยุติธรรม ขาดคุณธรรม ความสัตย์ซื่อต่อตนเองและผู้อื่น เพราะของใครๆ ก็รักสำหรับบางคนกว่าจะได้ของนั้นมาอาจจะต้องเก็บหอมรอมริบเป็นเวลาหลายสิบปี เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้คนมักจะพูดกันว่ามันไม่ยุติธรรมเลยในการดำเนินชีวิต ความเป็นจริงแล้วความยุติธรรมต้องอยู่คู่กับคุณธรรมจริยธรรมเพื่อเป็นเครื่องช่วยในการกำหนดกฎเกณฑ์ว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดี ถูกต้อง และเหมาะสมคำถามที่ว่าทำไมเราจึงต้องดำเนินชีวิตด้วยความยุติธรรม นักปรัชญาชาวกรีกที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งชื่อ อริสโตเติ้ล ได้กล่าวไว้ว่า “มนุษย์ทุกคนจะต้องเลือกเองว่าจะทำอะไรซึ่งดีสำหรับตนเอง และในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้อื่นด้วย”ในการเลือกที่จะทำนั้นต้องใช้หลักของคุณธรรมมากกว่าที่เลือกตามความพอใจของตนเอง ซึ่งคุณธรรมสามประการที่อริสโตเติ้ลเน้นได้แก่ temperance เป็นคุณธรรมประการแรก หมายถึง การรู้จักควบคุมตนหรือการข่มใจ หรือการรู้จักพอ, คุณธรรมประการที่สอง คือ courage หรือ ความกล้าหาญ คือการเลือกตัดสินใจด้วยเหตุผลถึงแม้จะตระหนักว่าจะมีอันตรายอยู่ข้างหน้าก็ตาม ผู้ที่มีความกล้าหาญจะเลือกกระทำด้วยความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่กระทำคือความถูกต้อง ไม่ใช่กล้าบ้าบิ่นขาดการไตร่ตรองด้วยปัญญา และคุณธรรมประการสุดท้าย คือ justice หรือความยุติธรรม ซึ่งหมายความว่า มนุษย์ทุกคนควรปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเท่าเทียมกันเหมือนที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตัวเราเอง
ความยุติธรรมมีจริงหรือไม่? คำว่าความยุติธรรมนั้นเป็นนามธรรมคือไม่มีตัวตน เราไม่สามารถจับต้องได้ แม้ความยุติธรรมนั้นจับต้องไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าความยุติธรรมนั้นไม่มี ความยุติธรรมมีจริงเพราะเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเงื่อนไขไปสู่ข้อยุติของปัญหานั้นๆ นักคิดมากมายกล่าวว่า ความยุติธรรมนั้นสัมผัสได้ด้วยใจ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนเพราะจิตใจของมนุษย์เรานั้นไม่เหมือนกันหมายความว่า ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เราต้องหาข้อยุติ แต่ละคนจะมีมุมมองในข้อยุตินั้นไม่เหมือนกัน บางคนบอกว่าข้อยุติของปัญหานั้นยุติธรรมไม่ลำเอียง แต่บางคนก็อาจจะบอกว่าข้อยุตินั้นขาดความยุติธรรมไม่เป็นกลาง ซึ่งเรามักได้ยินกันบ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน
มนุษย์เรานั้นอยู่ร่วมกันเป็นสังคม แต่ละคนย่อมมีแนวปฏิบัติของตนเองว่าจะกระทำอะไร อย่างไร ด้วยเหตุผลอะไร โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มีแนวโน้มที่จะใฝ่หาความสุข ความสบาย หลีกหนีความทุกข์ยากลำบากและโดยธรรมชาติมนุษย์อาจจะปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่ดีหรือเอารัดเอาเปรียบเพื่อว่าตนเองจะได้รับประโยชน์หรือความสุขความสบายเป็นเครื่องตอบแทน ถ้าทุกคนปฏิบัติเช่นนั้นสังคมก็จะวุ่นวาย ขาดความสงบสุข ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกัน การที่จะให้ผู้อื่นเคารพสิทธิของตนเองและไม่เบียดเบียนตนเอง ตัวเราเองนั้นก็ต้องเคารพสิทธิของผู้อื่นและไม่เบียดเบียนผู้อื่นเช่นกันความยุติธรรมเป็นแม่แบบของแนวทางต่างๆ ในการดำเนินชีวิต ซึ่งมีกฎหมายเป็นเครื่องมือในการทำหน้าที่ เช่น ถ้าคนไหนทำผิดตามหลักเกณฑ์ของสังคมนั้นจะมีบทบัญญัติในการลงโทษ คนที่ลักขโมยก็จะถูกปรับหรือติดคุกแล้วแต่กรณีไป นี่คือความยุติธรรมของสังคม
โดยความเชื่อของคริสตชน เราเชื่อว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรม ซึ่งบอกให้เราทราบว่าพระองค์ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรมโดยไม่ลำเอียง พระองค์มิได้ถูกโน้มน้าวจากความมั่งคั่งทางวัตถุ ไม่เหมือนกับมนุษย์อย่างเรา (โรม 2:11)
พระเจ้าทรงยุติธรรม หมายความว่า พระองค์ทรงไม่เข้าข้างหรือเลือกที่รักมักที่ชัง สิ่งที่เราเห็นด้วยสายตาเรา หลายครั้งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นเสมอไป เพราะมนุษย์หลอกกันได้แต่ไม่มีใครสามารถหลอกพระเจ้าได้ พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนเราว่า “อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น”(กาลาเทีย6:7)ความลำเอียง นับว่าเป็นความขมขื่นชอกช้ำใจของผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ขอให้เชื่อว่า ผู้ใดไม่ให้ความเป็นธรรมแก่คนอื่น ผู้นั้นก็จะได้รับความไม่เป็นธรรมตอบสนอง มีตัวอย่างของบุคคลในพระคัมภีร์ที่เป็นผู้รักษาความยุติธรรมมากมาย
เรื่องราวของซาโลมอน กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของชนชาติอิสราเอล พระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ที่ปกครองประชาชนด้วยสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า มีครั้งหนึ่งที่พระองค์ได้ตัดสินคดีให้แก่หญิง สองคนด้วยความยุติธรรม ซึ่งเป็นเรื่องราวในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ที่กล่าวไว้ว่า... แล้วหญิงแพศยาสองคนมาเฝ้าพระราชา และยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ หญิงคนหนึ่งทูลว่า “ข้าแต่เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทและผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในเรือนเดียวกัน และข้าพระบาทก็คลอดบุตรคนหนึ่ง ขณะที่นางนั้นอยู่ในเรือน เมื่อข้าพระบาทคลอดบุตรได้สามวันแล้ว นางคนนี้ก็คลอดบุตรด้วย และข้าพระบาททั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่มีผู้ใดอยู่กับข้าพระบาททั้งสองในเรือนนั้น ข้าพระบาททั้งสองเท่านั้นอยู่ในเรือนนั้น แล้วบุตรของหญิงคนนี้ก็ตายเสียในกลางคืน ด้วยเขานอนทับ พอเที่ยงคืนนางก็ลุกขึ้น และเอาบุตรของข้าพระบาทไปเสียจากข้างข้าพระบาท ขณะที่สาวใช้ของฝ่าพระบาทหลับอยู่ และวางเขาไว้ในอกของเธอ และเธอเอาบุตรของเธอที่ตาย แล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระบาท เมื่อข้าพระบาทตื่นขึ้นในตอนเช้าเพื่อให้บุตรของข้าพระบาทกินนม ดูเถิด เขาตายเสียแล้ว แต่เมื่อข้าพระบาทพินิจดูในตอนเช้า ดูเถิด เด็กนั้นไม่ใช่บุตรที่ข้าพระบาทได้คลอดมา” แต่หญิงอีกคนหนึ่งพูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่เป็นเป็นบุตรของฉัน เด็กที่ตายเป็นของเจ้า” หญิงคนที่หนึ่งพูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่ตายเป็นของเจ้า และเด็กที่เป็น เป็นของฉัน” เขาทั้งสองพูดกันดังนี้ต่อพระพักตร์พระราชาแล้วพระราชาตรัสว่า “คนหนึ่งพูดว่า ‘คนนี้เป็นบุตรของฉัน คือเด็กที่เป็นอยู่ และบุตรของเจ้าตายเสียแล้ว’ และอีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ไม่ใช่ แต่บุตรของเจ้าตายเสียแล้ว และบุตรของฉันเป็นคนที่มีชีวิต’ ” และพระราชาตรัสว่า “เอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” เขาจึงเอาพระแสงดาบมาไว้ต่อพระพักตร์พระราชา และพระราชาตรัสว่า “จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็นสองท่อน และให้คนหนึ่งครึ่งหนึ่ง และอีกคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง” แล้วหญิงคนที่บุตรของตนยังมีชีวิตอยู่นั้นทูลพระราชา เพราะว่าจิตใจของเธออาลัยในบุตรของเธอ เธอว่า “ข้าแต่เจ้านายของข้าพระบาท ขอทรงมอบเด็กที่มีชีวิตนั้นให้เขาไป และถึงอย่างไรก็ดีอย่าทรงฆ่าเสีย” แต่หญิงอีกคนหนึ่งว่า “อย่าให้ฉันเป็นเจ้าของ หรือของฉัน ขอทรงแบ่งเถิดเพคะ” แล้วพระราชาตรัสตอบเขาว่า “จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก อย่าฆ่าเสียเลย นางเป็นมารดาของเด็กนั้น” อิสราเอลทั้งปวงทราบเรื่องการพิพากษา ซึ่งพระราชาประทานการพิพากษานั้น และเขาทั้งหลายก็เกรงกลัวพระราชา เพราะเขาทั้งหลายประจักษ์ว่า พระสติปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์ ที่จะทรงวินิจฉัยให้ความยุติธรรม (1พงศ์กษัตริย์ 3: 16-28)
เมื่อชนชาติอิสราเอลทั้งปวงได้รู้ถึงคำตัดสินของกษัตริย์ก็ยำเกรงพระองค์ เพราะเห็นว่าพระองค์ทรงมีสติปัญญาจากพระเจ้าเพื่อผดุงความยุติธรรม และนี่เป็นตัวอย่างเรื่องการดำเนินชีวิตด้วยความยุติธรรม
พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้เที่ยงตรง พระองค์ปรารถนาให้ลูกของพระองค์เป็นคนที่เที่ยงตรงและสัตย์ชื่อ ดำเนินชีวิตอยู่บนความยุติธรรม ไม่โอนเอนไปในข้างของความไม่ถูกต้อง .....ให้เรามีความกล้าที่จะแสดงออกถึงการเป็นคนเที่ยงตรงยุติธรรม และที่สำคัญไปกว่านั้นต้องกล้าที่จะเรียกร้องให้คนรอบข้างเรารักความยุติธรรมเช่นเดียวกัน เชื่อว่าเราจะเป็นคนหนึ่งที่มีชีวิตที่เกิดผลมากยิ่งขึ้นในการสร้างสรรค์สังคมและชุมชนให้น่าอยู่และสงบสุข ดังคำสอนจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่กล่าวว่า “ท่านอย่ากระทำให้เสียความยุติธรรม อย่าลำเอียง อย่ารับสินบน เพราะว่าสินบนทำให้ตาของคนมีปัญญามืดมัวไปและกลับคดีของคนชอบธรรมเสีย” (เฉลยธรรมบัญญัติ 16:19)
#เสียงแห่งปัญญา#voiceofwisdomรายการที่นำเสนอข้อคิด ข้อชี้แนะในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาผลิตรายการ โดย ดร.จริยา ศรมยุราติดต่อขอรับซีดี รายการวิทยุเสียงแห่งปัญญา ได้ที่ vop@voiceofpeace.orgตู้ปณ. 131 ปณจ. เชียงใหม่ 50000โทร. 053-242-654