หลายสิ่งหลายอย่างเรายอมสละหรือยอมสูญเสียไปจากชีวิต เพราะรู้ว่าสักวันเราสามารถที่จะได้สิ่งนั้นกลับมาดังเดิม หรือดีกว่าเดิมได้ แต่มีอยู่สามสิ่งที่เมื่อเราปล่อยให้หลุดผ่านไปแล้ว แม้เราจะเรียกร้อง หรือพยายามไขว่คว้าให้กลับมาเหมือนเดิมก็สายไปเสียแล้ว ขอขอบคุณคนที่แบ่งปันข้อคิดดีๆที่ทำให้เราต้องใคร่ครวญถึงสามสิ่งนี้ในชีวิตของเราและสามสิ่งนั้น คือ “เวลา คำพูด และ โอกาส”สิ่งแรก คือ “เวลา” ในหนึ่งวันทุกคนมีเวลาเท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะบริหาร หรือ จัดการให้เกิดประโยชน์ได้ดีกว่า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วชีวิตมนุษย์สั้นเกินจะทำทุกสิ่งได้ครบอย่างตั้งใจ ส่วนใหญ่ก็จะวางแผนใช้เวลาเพื่อสร้างฐานะ ความมั่นคงให้กับตนเองและครอบครัว คนที่บริหารเวลาอย่างมีปัญญาเท่านั้นจะประสบความสำเร็จได้ และที่สำคัญเราไม่ควรกระวนกระวายว่าชีวิตในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เพราะเวลาพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง ให้เราใช้เวลาของชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบันให้มีคุณค่ากันดีกว่าเราใช้เวลาในแต่ละวันอย่างคุ้มค่ากันหรือเปล่า ให้เราพิจารณาดูว่าเวลาในแต่ละวันส่วนใหญ่แล้วเวลาที่หมดไปนั้นหมดไปกับการคิดมาก กลุ้มใจ กังวล กระวนกระวายใจ หรือครุ่นคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็มีความกระวนกระวายในตัวของมันอยู่แล้วสิ่งที่สอง เมื่อเราทำไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาหรือทำใหม่ได้คือ “คำพูด” ไม่ว่าจะพูดดี พูดร้าย เมื่อสื่อสารออกไปให้ผู้อื่นได้ยิน ย่อมไม่สามารถเรียกคืน หรือลบล้างได้ วาจาจะกลายเป็นนายตั้งแต่พูดจบประโยคทุกครั้งไป ดังนั้นก่อนจะพูดอะไรออกไปให้คิดก่อนพูด เอาใจเขามาใส่ใจเรา ยึดความสัตย์จริง รักษาคำพูด ไม่พูดซุบซิบนินทา แล้วเราก็จะเป็นที่ยกย่องและน่านับถือในพระคัมภีร์มีคำสอนและเตือนใจเราเรื่องคำพูดไว้ว่า “บุคคลที่เที่ยวซุบซิบไปก็เผยความลับให้กระจาย ฉะนั้นอย่าเข้าสังคมกับคนปากบอน” (สุภาษิต 20:19) และอีกคำสอนหนึ่งที่ว่า “บุคคลที่รักษาปากและลิ้นของตน ก็รักษาตัวเขาเองให้พ้นความลำบาก“(สุภาษิต 21:23)สิ่งที่สาม เมื่อเราทำไปแล้วจะไม่สามารถทำใหม่ได้หรือไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้คือ“โอกาส” โอกาสไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักในชีวิตหลายๆ คน และส่วนใหญ่ก็มาถึงโดยไม่ได้เตรียมตัว ผู้ที่เตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอเพื่อรอจังหวะและใช้โอกาสที่รับมานั้นให้ดีที่สุดย่อมได้ประโยชน์ ให้เราฉวยโอกาสที่จะทำสิ่งดีๆ ให้กับตนเองและสังคมหลายคนคิดว่าชีวิตขึ้นอยู่กับดวง บุญพาวาสนาส่ง แต่แท้จริงแล้วขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส“สักวันต้องเป็นวันของเรา” คงได้ยินกันบ่อยมากกับคำพูดนี้ แต่คงไม่ดีถ้าเราไม่ทำอะไรเลย สิ่งสำคัญคือเราต้องแสวงหาโอกาส โดยการวิ่งเข้าหาโอกาสและไม่ต้องรอให้โอกาสวิ่งเข้ามาหา กว่าโอกาสจะมาถึงเราคนที่เขาวิ่งเข้าหาก็คว้าไปก่อนแล้ว ดังนั้นเราจึงต้องขวนขวายสร้างโอกาสจากสิ่งที่มีอยู่และเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เมื่อจังหวะและโอกาสมาเราก็ควรรับไว้และทุ่มเทให้เต็มกำลังความสามารถ เพราะถ้าเราไม่ได้เตรียมพร้อม เมื่อจังหวะโอกาสเข้ามาก็จะรู้สึกเสียใจเราเคยได้ยินคำสอนที่ว่า "ขยัน อดทน ประหยัด มานะ อดออม แล้วจะร่ำรวย" แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ในสังคมปัจจุบัน ถ้าทำอย่างนั้น แล้วเราจะรวยจริงหรือ ตัวอย่างมากมายในสังคมที่คนทำงานหนัก เก็บออม มุ่งมั่น มานะ พยายาม แล้วกลับ "ไม่รวย" แต่เมื่อเรามาย้อนดูประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายแล้ว สิ่งหนึ่งที่คนเหล่านั้นล้วนมีเหมือนกันคือ "โอกาส"คนบางคนเห็นโอกาสก็ต่อเมื่อผู้อื่นหยิบยื่นมาให้…….คนบางคนทั้งชีวิตมีโอกาสผ่านมามากแต่กลับไม่คว้าไว้…….และคนบางคนทั้งชีวิตแทบไม่มีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตเลย มีโอกาสอะไรบ้างที่เข้ามาในชีวิตและไม่ได้ไขว่คว้าไว้ทำให้รู้สึกเสียดาย ซึ่งเราไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ บางคนรู้สึกเสียดายโอกาสดีๆ เวลาดีๆ ที่มีให้กับใครสักคน โดยเฉพาะยิ่งรู้ว่าคนนั้นเป็นคนดีก็ยิ่งเสียดายคนบางคนสังเกตเห็นพฤติกรรมตัวเองว่าทำไม “โอกาส” เข้ามาในชีวิตเสมอ แล้วพวกเขาก็ค้นพบว่าพวกเขาเป็นคน “สร้างโอกาสให้กับตัวเอง” นั่นคือ วิ่งเข้าหาโอกาส บางคนบอกว่างานหลายอย่าง หรือโอกาสหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเขานั้นเมื่อมานั่งคิดดูแล้วทุกอย่างเกิดจากการที่ “เขาได้สร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง” ไม่ได้เกิดจากโชคดีหรือเหตุผลใดๆตัวอย่างจากข้อเขียนของคนๆ หนึ่งหนุนใจมากในเรื่องนี้ เขาบอกว่าเขาจะเป็นคนที่สร้างโอกาสให้กับตัวเองเสมอ อย่างเช่น “การรอแท็กซี่” เขาเป็นคนหนึ่งที่นั่งแท็กซี่บ่อยมาก เวลาที่เขารอแท็กซี่ในจุดที่คนเยอะๆ หารถยากๆ เขาก็จะไม่ยืนรอตรงนั้น แต่เขาจะเดินไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดที่มีทางแยก จุดที่เขาจะมีโอกาสได้แท็กซี่มากกว่ายืนอยู่ตรงทางเดียว เขาบอกต่อไปว่า ....การเดินไปรอตรงทางแยก หรือตรงซอยเป็นการเพิ่มโอกาสได้รถเพิ่มมาอีกหนึ่งช่องทางให้กับตัวเขาเอง หลายๆครั้งที่เขาต้องเดินไปไกลมาก แต่เขาก็ได้รับโอกาสนั้นมากขึ้นเช่นกัน เขามักไม่ชอบกับการ “อยู่นิ่งๆ อยู่เฉยๆ ” และรอให้โอกาสมันมาหาเขา เพราะมันจะเกิดขึ้นได้ช้า หรือต้อง “รออีกนานเท่าไรไม่รู้” เขาชอบที่จะ “ออกไปหา และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา” เพราะเขาเชื่อมั่นเสมอว่า “โอกาสมีอยู่เสมอ หากเรารู้จักสร้างมันขึ้นมา”อย่ารีรอ... คิดหาทางสร้างโอกาสให้ตัวเองมากขึ้น แล้วความสำเร็จจะตามมาอาจารย์เปาโล สาวกของพระเยซูคริสต์ท่านหนึ่งได้บอกให้เราเห็นคุณค่าของเวลา ท่านได้กล่าวว่า “จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้ เป็นกาลที่ชั่ว” (เอเฟซัส 5.16) คำว่า ฉวยโอกาส หมายถึง หาโอกาสโดยใช้ทุกเวลาของเราให้ถูกต้องและเหมาะสมในการดำเนินชีวิตเราฉวยโอกาสเพื่อจะทำอะไร……สำหรับคริสตชนแล้ว เราฉวยโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า ทำงาน ทำความดีต่อเพื่อนมนุษย์เพื่อพระองค์ ……เราฉวยโอกาสในการที่เราจะมีชีวิตอยู่ด้วยความรัก รักซึ่งกันและกัน เพราะเราเชื่อว่าความรักนั้นใหญ่ที่สุด ให้เรารักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์ให้เราตัดสินใจและลงมือทำในสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งดีถูกต้อง เมื่อเราตัดสินใจแล้ว เราต้องลงมือทำทันที หากลังเล เลื่อนไป ก็คงไม่มีโอกาสที่จะทำได้เลย เมื่อเวลาผ่านไป ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป ความตั้งใจ การตัดสินใจก็เปลี่ยนตามด้วย ทำให้เราพลาดโอกาสที่จะทำสิ่งดีๆ และที่สำคัญให้เราใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างผู้มีปัญญาโอกาสมีอยู่ในทุกวันและในทุกสิ่งที่เราทำ ขอเพียงแต่เราพินิจพิเคราะห์อย่างมุ่งมั่น อย่างจริงจัง เราก็จะเริ่มมองเห็นโอกาสใหม่ๆ จากสิ่งที่เราทำ หรือแม้กระทั่งมองเห็นโอกาสจากปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวันจงฉวยโอกาสในการทำแต่สิ่งที่ดีงามและพระพรมากมายจะเข้ามาในชีวิต พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้สอนเราว่า “อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีโอกาสให้เราทำดีต่อคนทั้งปวงและเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ”(กาลาเทีย 6:9-10 )
#เสียงแห่งปัญญา#voiceofwisdomรายการที่นำเสนอข้อคิด ข้อชี้แนะในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาผลิตรายการ โดย ดร.จริยา ศรมยุราติดต่อขอรับซีดี รายการวิทยุเสียงแห่งปัญญา ได้ที่ vop@voiceofpeace.orgตู้ปณ. 131 ปณจ. เชียงใหม่ 50000โทร. 053-242-654