40.พลังความดี....เริ่มที่ตัวเรา

การทำความดีไม่ใช่เรื่องยาก และก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนบางคน เพราะมนุษย์เรามีหลากหลายในด้านความเชื่อ วัฒนธรรม การอบรมเลี้ยงดู และปัจจัยอื่นๆ ดังนั้นมนุษย์เราก็จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไปด้วยคนส่วนใหญ่มีมุมมองในเรื่องความดีเป็นบรรทัดฐานหรือมาตรฐานเดียวกันที่ว่า ความดีคือสิ่งที่เกิดผล สิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่สร้างสรรค์ สิ่งที่ทำแล้วมีความชื่นชมยินดี มีความสุขทั้งกับตัวเอง คนรอบข้าง สังคมและประเทศชาติ หากเราต้องการรับพระพร ความสุข สันติสุขในใจมากๆ เราก็ต้องแสวงหาความดีและทำดีให้มากๆ หากทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ก็จะได้รับความทุกข์ใจ ความเดือดร้อนการให้ เป็นการทำความดีอย่างหนึ่ง การให้เป็นพลังความดีอย่างไร และพลังความดีนี้ จะเริ่มที่ตัวเราอย่างไร
การให้..นับว่าเป็นพระพรอันยิ่งใหญ่ในการดำเนินชีวิตของคนๆ หนึ่งก็ว่าได้ โดยเฉพาะการให้ที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้อแม้ คือให้ด้วยใจยินดี ไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ จากผู้รับ การให้....เป็นความสุขที่แท้จริงที่เราสามารถสัมผัสได้ถึงชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมยินดีที่เห็นคนอื่นหรือผู้รับมีความสุข รูปแบบของการให้มีหลายอย่างด้วยกัน เช่น ให้ทรัพย์สินเงินทอง ของใช้ ....ให้ความรักความเมตตา ...ให้ความรู้ …..ให้อภัย...ให้เกียรติ...ให้โอกาสหรือแม้แต่ให้กำลังใจ
ชีวิตคนเรานั้นไม่มีอะไรแน่นอน เราไม่สามารถกำหนดได้ว่าชีวิตเรานั้นจะดำเนินไปได้อีกกี่วัน กี่เดือนหรืออีกกี่สิบปี พรุ่งนี้เราอาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้วก็เป็นไปได้ ดังนั้นเราต้องมีชีวิตที่อยู่กับปัจจุบันและทำทุกๆวันให้ดีที่สุด ให้ทุกวันเป็นวันที่เรามุ่งมั่นในการทำความดี เพื่อให้ทุกวันเป็นวันที่เราจะมีแต่ความสุข ความชื่นชมยินดีพลังความดีเริ่มที่ตัวเราในรูปแบบหรือการกระทำง่ายๆ โดยมุ่งเน้นพลังการทำความดีด้วยการให้ เมื่อเราให้แล้วเราจะได้รับพระพร สิ่งที่ดีงามก็จะกลับมาในชีวิตแน่นอนให้เราคิดเสมอว่า สิ่งที่เราให้ออกไปคือสิ่งที่เราจะได้กลับมา นั่นคือความสุข ความชื่นชมยินดีที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น อย่าให้เราคาดหวังว่าเราจะได้รับสิ่งตอบแทนหรือผลประโยชน์จากการที่เราให้ เพราะนั่นเป็นการให้แบบมีเงื่อนไข เมื่อผู้รับไม่ตอบแทนเรา ไม่ให้ประโยชน์เรา เราก็จะรู้สึกไม่ดี ไม่มีความสุข ถ้าเรายิ่งให้ เราก็ยิ่งได้รับ เราให้มาก เราก็มีโอกาสได้รับมาก สิ่งที่สำคัญในเรื่องของการให้ก็คือ อย่าให้เราให้เพราะเราอยากได้รับสิ่งตอบแทนพลังความดีเริ่มที่ตัวเราทำไม่ยาก ถ้าเราต้องการมีความสุขมาก มีชีวิตที่อยู่อย่างชื่นชมยินดี เราต้องเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ไม่จำเป็นต้องให้ทรัพย์สินเงินทอง การให้รอยยิ้ม ให้กำลังใจกันก็ถือว่าเราได้มีส่วนช่วยให้สังคมและคนรอบข้างมีความสุขแล้วคำสอนของพระเยซูคริสต์ในเรื่องนี้ ได้สอนเราไว้ว่า “อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร” (กาลาเทีย 6: 9) พระเจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยความดี ทรงเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำเสมอ ถึงแม้มนุษย์อาจจะมองข้ามสิ่งที่เราทำ แต่พระองค์ไม่เคยมองข้ามเลยแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตของเราความดีที่เราทำในวันนี้แม้จะไม่มีใครเห็นก็ไม่เป็นไร เพราะสุดท้ายแล้วความดีก็ย่อมส่งผลที่ดีกลับคืนมาสู่ชีวิตเรา เราหว่านอย่างไรเราก็จะเกี่ยวอย่างนั้น หว่านความดีความสุขออกไปให้ผู้อื่น สิ่งดีความสุข คำพูดที่หนุนใจจากผู้อื่นก็จะกลับมาหาเรา ทำให้เรามีความสุขอย่าให้เราท้อกับอุปสรรคที่ขวางกั้น แต่ให้เราเลือกสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้องให้กับชีวิตดีกว่าหลงผิดให้ชีวิตต้องมัวหมอง พระเจ้าทรงมองดูการกระทำของเราและพระองค์พร้อมที่จะเดินเคียงข้างไปกับเรา แล้วเราจะไม่กลัวที่จะเดินหน้าทำความดีต่อไป
มีตัวอย่างบุคคลในพระคริสตธรรมคัมภีร์ เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุ 17 ปีอาศัยอยู่กับพ่อและพี่ๆ ที่แคว้นคานาอัน ประเทศอิสราเอล หนุ่มคนนี้มีชื่อว่าโยเซฟเป็นน้องชายคนสุดท้อง ดังนั้นผู้เป็นพ่อจึงรักโยเซฟมากกว่าพี่ชายทั้งหมดเพราะพ่อมีโยเซฟตอนที่เค้าแก่มากแล้ว เมื่อพวกพี่ชายเห็นว่าพ่อรักโยเซฟ มากกว่าตัวเองก็มีความอิจฉาริษยาวันหนึ่งผู้เป็นพ่อก็ได้ใช้โยเซฟไปดูพวกพี่ๆที่พาสัตว์เลี่ยงไปอีกเมืองหนึ่งว่าเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อพี่รู้ว่าโยเซฟกำลังเดินทางมา ก็จึงคิดอุบายหาหนทางที่จะกำจัดโยเซฟเสีย และเมื่อโยเซฟมาถึงพวกเขาก็ได้จับโยเซฟโยนลงในบ่อซึ่งไม่มีน้ำ แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจขายโยเซฟให้กับพ่อค้าที่เดินทางผ่านมา และพ่อค้านั้นก็ได้พาโยเซฟไปอียิปต์ ส่วนพี่ชายของโยเซฟ เมื่อกลับไปหาพ่อก็บอกพ่อว่าโยเซฟตายแล้ว โดนสัตว์กัดกิน
เมื่อโยเซฟถูกนำมาที่อียิปต์ เขาก็ถูกขายต่อให้กับคนอื่นซึ่งเป็นขุนนาง มียศฐาบรรดาศักดิ์ จึงทำให้โยเซฟเจริญรุ่งเรืองไปด้วย เป็นผู้ดูแลการงานและทรัพย์สินในบ้านให้เจ้านาย โยเซฟเป็นหนุ่มหน้าตาดี เมื่อเจ้านายไม่อยู่ ภรรยาของเจ้านายจึงมีความต้องการที่จะมีสัมพันธ์ด้วยกับโยเซฟ แต่เนื่องจากโยเซฟเป็นคนดีและพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา เขาจึงไม่ยอมที่จะทำในสิ่งที่ไม่ดี โยเซฟปฎิเสธภรรยาเจ้านายครั้งแล้วครั้งเล่า จึงทำให้ภรรยาเจ้านายโกรธและใส่ร้ายโยเซฟว่า เธอถูกโยเซฟลวนลามและกระทำหยาบคาย เมื่อเจ้านายทราบเรื่องจึงสั่งให้ขังโยเซฟ ขณะที่โยเซฟจำคุกอยู่นั้นเขาได้ช่วยเหลือเพื่อนนักโทษด้วยกัน จนสุดท้ายนักโทษคนนั้นก็ได้กลับไปทำงานในวังอีกครั้งต่อมากษัตริย์ฟาโรห์มีปัญหาและไม่มีข้าราชการคนไหนแก้ปัญหานี้ได้ นักโทษที่ได้กลับเข้ามาทำงานในวังก็นึกได้ว่าโยเซฟเคยช่วยเหลือเขา จึงบอกกษัตริย์ฟาโรห์ และโยเซฟจึงถูกนำตัวมาเพื่อช่วยแก้ปัญหานั้นและเขาก็สามารถแก้ไขได้สำเร็จ และเป็นที่โปรดปรานของฟาโรห์ กษัตริย์แห่งอียิปต์ เรื่อยมา สุดท้ายฟาโรห์ได้แต่งตั้งโยเซฟให้เป็นผู้ดูแลราชสำนักและดูแลทั่วประเทศอียิปต์ คอยรับใช้กษัตริย์ฟาโรห์
เมื่อโยเซฟได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินที่อียิปต์ หลังจากนั้นก็เกิดกันดารอาหารทั่วโลกพ่อของโยเซฟได้ใช้ให้พี่ของโยเซฟเดินทางมาซื้อข้าวที่อียิปต์โดยไม่รู้ว่าโยเซฟยังมีชีวิตอยู่และมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ใหญ่โตที่อียิปต์ จากการซื้อขายข้าวดังกล่าวทำให้โยเซฟมีโอกาสพบและพูดคุยกับพวกพี่ๆ ของเขา โดยที่ยังไม่เปิดเผยตัวเองให้พี่ๆ รู้ อีกทั้งได้ทำการทดสอบพวกพี่ๆ ต่างๆ นาๆ และในที่สุดโยเซฟก็ได้บอกความจริงกับพี่น้องของเค้า พี่น้องก็ตกใจกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับโยเซฟ แต่โยเซฟเป็นคนดีกลับบอกพี่ๆ ว่าไม่ให้โกรธตัวเองที่ขายเขามา ปลอบใจพี่ๆ ไม่ให้เสียใจ และโยเซฟก็ดีใจมากที่พ่อเขายังมีชีวิตอยู่
คนเราเมื่อทำสิ่งดีๆ ก็ย่อมได้รับสิ่งดีตอบแทน แม้โยเซฟจะไม่ได้คาดหวังก็ตาม แต่กษัตริย์ฟาโรห์และข้าราชการเมื่อทราบเรื่องนี้ก็ร่วมยินดี พร้อมมอบทรัพย์สมบัติมากมายให้กับพี่น้องของโยเซฟนำกลับบ้าน และหลังจากนั้นได้ไปรับพ่อ พี่ๆ และสมาชิกครอบครัวของโยเซฟมาที่อียิปต์ พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนเราว่า “จงอย่าละเลยที่จะกระทำการดี และจงแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” (ฮีบรู13:16)
 
#เสียงแห่งปัญญา#voiceofwisdomรายการที่นำเสนอข้อคิด ข้อชี้แนะในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาผลิตรายการ โดย ดร.จริยา ศรมยุราติดต่อขอรับซีดี รายการวิทยุเสียงแห่งปัญญา ได้ที่ vop@voiceofpeace.orgตู้ปณ. 131 ปณจ. เชียงใหม่ 50000โทร. 053-242-654
รายการทั้งหมด