"สื่อสังคมโซเชียลมีเดีย" นับว่าเป็นสื่อที่มีอิทธิพลมากในชีวิตของคนทุกเพศทุกวัยในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นการใช้สื่อเพื่อศึกษาหาข้อมูล หาความรู้เพิ่มเติม หรือติดตามความเคลื่อนไหวในสังคม แต่ในโลกของสื่อมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี ซึ่งบางครั้งถูกนำเสนอออกไปโดยไม่ผ่านการคัดกรอง เราจะเห็นได้ว่าเมื่อมีเหตุอะไรเกิดขึ้นจะแพร่ออกสื่อไปได้อย่างรวดเร็วไม่เพียงแค่ในเมืองไทย แต่แพร่ไกลไปทั่วโลกและอาจนำไปสู่พฤติกรรมเลียนแบบตามมาอย่างที่เห็นในหน้าข่าวต่างๆ อีกด้วยนักวิชาการ นักจิตวิทยา ครูอาจารย์ ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างก็ให้ความสนใจในเรื่องของการใช้สื่อและผลที่จะตามมาจากการใช้สื่อเป็นอย่างยิ่ง คำถามก็คือ สังคมวัยรุ่นไทยปัจจุบันเมื่อใช้สื่อนี้แล้วจะสามารถพิจารณาได้หรือไม่ว่าอะไรดีและอะไรไม่ดี อะไรเป็นข่าวเท็จและอะไรเป็นข่าวจริง อะไรควรตามอย่างและอะไรไม่ควรตามอย่าง นับเป็นเรื่องน่าห่วงที่ควรให้ความสนใจในการหาทางป้องกัน มิฉะนั้นอาจเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยในอนาคต
“สังคมก้มหน้า” ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่กับเพื่อนกับพี่น้อง หรือคนรอบข้างจะเห็นได้ว่าปัจจุบันสังคมไทยกลายเป็นสังคมก้มหน้าแล้วคือ เป็นพวกที่เสพติดข่าวสารหรือเทคโนโลยี ว่างไม่เกิน 2-3 นาทีก็จะต้องหยิบ Smart Phone หรือ Tablet ออกมากดๆ จิ้มๆ โดยไม่สนใจคนรอบข้าง หากเป็นผู้ใหญ่หรือน้องๆ ที่เรียนจบแล้วอยู่ในวัยทำงานคงจะไม่น่าห่วงเท่าไร เนื่องด้วยวุฒิภาวะและความรับผิดชอบนั้นมีมากขึ้นไปตามวัยและอายุ แต่ที่น่าห่วงนั้นคือ กลุ่มวัยรุ่นที่ยังเรียนอยู่จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมของวัยรุ่นไทย มีการแสดงออกและพยายามเผยแพร่ข่าวสารรวมถึง กิจกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ เด็กวัยรุ่นบางคนมักมีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างสุดๆ สุดขั้วออกมามากขึ้น เช่น ทางเฟสบุ๊ค ไม่ว่าจะเป็นการโพสท์ข้อความ รูปถ่าย คลิปวีดิโอ อาจจะเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่ามีผู้สนับสนุนพวกเขาอยู่ด้วยการเข้ามาดูในสิ่งที่พวกเขาโพสต์ และก็เข้ามากดไลค์ให้ การใช้สื่อนั้น ถ้าใช้ในทางที่ดี ผลที่ออกมาก็จะดี เช่น ทำให้มีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น มีความสุขกับสิ่งที่ทำในแต่ละวัน รู้สึกสนุกเพลิดเพลินแต่ถ้าใช้สื่อในทางที่ไม่ดี ก็จะได้รับผลเสียและกระทบถึงการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ด้านสุขภาพทำให้อ่อนล้าสายตา สายตาสั้นลง ตาลาย ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และยังมีผลต่อสุขภาพจิตในทางลบอีกด้วย
ไม่ว่าการดำเนินชีวิตของเราจะอยู่ในยุคใดสมัยใด การดำเนินชีวิตด้วยปัญญา มีความรอบคอบ ความเข้าใจในสิ่งที่เราทำนั้น จะช่วยเราให้ดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้อง โดยเฉพาะในยุคสังคมก้มหน้า สังคมโซเชียลมีเดีย ยิ่งต้องใช้ปัญญามากขึ้น
ข้อมูลของแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตและโฆษกกระทรวงสารธาณสุข ท่านได้ให้ข้อมูลไว้ว่า “ในยุคที่คนนิยมใช้สื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ทำให้คนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษามีพฤติกรรมที่เรียกว่า เซลฟี่ กันมากโดยเป็นพฤติกรรมที่ชอบถ่ายรูปตัวเองในอิริยาบถต่างๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ทำอะไร กินอะไร แล้วก็นำไปแชร์ในเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อรอให้เพื่อนๆ มากดไลค์หรือเขียนข้อความแสดงความเห็นต่างๆ”การถ่ายรูปแบบเซลฟี่มีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของคนที่โพสต์แน่นอน ถ้าดูเผินๆ ก็อาจจะมองไม่เห็นถึงผลกระทบที่ไม่ดี แต่จิตแพทย์กลับมองว่าพฤติกรรมเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพจิตในอนาคตได้ โดยเฉพาะในเรื่องของความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งจะมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันและส่งผลต่ออนาคต การงาน การเรียนอย่างคาดไม่ถึง
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่า “เซลฟี่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล การลงรูปเพราะอยากได้การตอบรับจากสังคม และการได้ยอดกดไลค์ถือว่าเป็นรางวัล ซึ่งเป็นหลักปกติของมนุษย์ทั่วไป ถ้าอะไรที่ทำแล้วได้รางวัลก็จะทำซ้ำ แต่ว่ารางวัลของแต่ละบุคคลมีผลกระทบต่อความรู้สึกไม่เท่ากันบางคนลงรูปแล้ว ได้แค่สองไลค์เขาก็มีความสุขแล้วเพราะถือว่าพอแล้ว แต่บางคนต้องให้มียอดกดไลค์มากๆ พอมีมากแล้วก็ยิ่งติดเพราะถือว่าเป็นรางวัล แต่หากได้รับการตอบรับน้อยไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ และทำใหม่แล้วก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจะส่งผลต่อความคิดของตัวเอง บุคคลนั้นจะสูญเสียความมั่นใจและส่งผลต่อทัศนคติด้านลบของตัวเองได้ เช่น ไม่ชอบตัวเอง แต่หากบุคคลนั้น สามารถรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้เป็นปกติได้ การเซลฟี่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต”
แพทย์หญิงพรรณพิมล ได้กล่าวอีกว่า นักจิตวิทยาสหรัฐอเมริกาได้ให้ข้อคิดว่า เซลฟี่ สามารถกัดกร่อนความมั่นใจ ความภาคภูมิใจในตัวเองได้ หากถ่ายรูปตัวเองเผยแพร่บนโลกออนไลน์เป็นบางโอกาส ถือเป็นการมีส่วนร่วมในสังคมออนไลน์ แต่หากมากไปและคาดหวัง จดจ่อว่าจะมีใครเข้าดูเข้ามาแสดงความคิดเห็น แสดงว่าการเซลฟี่กำลังสร้างปัญหา และเป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกถึงการขาดความมั่นใจในตัวเอง ล่าสุด สาธรารณสุขประเทศอังกฤษได้ออกมาประกาศว่า อาการเสพติดโซเชียลมีเดีย ถือเป็นโรคอย่างหนึ่ง
นับวันเราก็ไม่อาจที่จะปฎิเสธเทคโนโลยี โซเชียลเน็ตเวิร์คให้ออกไปจากชีวิตประจำวันของเราได้ เมื่อเราไม่อาจปฏิเสธเทคโนโลยีโซเชียลเน็ตเวิร์กในโลกออนไลน์ที่เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตได้ ผู้ใช้สื่อคือพวกเราเองควรที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้การใช้เทคโนโลยีซึ่งจะเข้ามาแทนที่การปฏิสัมพันธ์กันในชีวิตจริง ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
ถ้าเรามัวแต่ก้มหน้าก้มตา ถ่ายรูป โพสต์รูป chat กัน โดยไม่คำนึงถึงคนที่นั่งอยู่กับเรา หรือคนที่มากับเราก็ก้มหน้าก้มตาเช่นเดียวกันก็จะยิ่งไปกันใหญ่ ทำให้การติดต่อสื่อสาร การพูดคุยระหว่างผู้คน จะถูกเปลี่ยนรูปแบบไปสู่การเขียนบนหน้าจอแทนการพูดด้วยปากที่ได้ยินเสียง ทำให้อารมณ์ ความรู้สึกและการรับรู้ระหว่างกันก็หายไป จนในที่สุดความเพิกเฉยต่อการรับรู้ ความรู้สึกระหว่างกันจะลดน้อยลงไปตามลำดับ ถึงขั้นลืมวิธีที่จะปฏิบัติต่อกันในชีวิตจริงก็ได้ เราจะต้องรู้จักใช้เทคโนโลยีและโซเชียลเน็ตเวิร์คในโลกออนไลน์อย่างเหมาะสม ใช้อย่างมีสติ ด้วยปัญญาและรู้เท่าทัน คิดถึงผลดีผลเสียที่จะตามมาจากการใช้
ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของคริสตชน ไม่ว่าจะเรียน จะทำงาน หรือชีวิตครอบครัว ความรัก การคบเพื่อนฝูง เราขอให้พระเจ้าเป็นผู้ทรงนำ พระองค์จะบอก เตือน และจะสอนเราผ่านการอธิษฐาน การอ่านพระคัมภีร์ของเรา พระองค์จะช่วยเรา โดยประทานความคิด สติปัญญาในการดำเนินชีวิตให้เราอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าสังคมที่เราอยู่จะเป็นอย่างไร จะเปลี่ยนไปแค่ไหน จากสังคมที่พูดกันเห็นหน้ากันสัมผัสกันได้ รับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกกัน แต่เปลี่ยนเป็นสังคมที่พูดคุยกันเห็นหน้ากัน แต่ไม่สามารถสัมผัส รับรู้อารมณ์ได้อย่างในโลกและสิ่งแวดล้อมของความเป็นจริง
แต่พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย พระองค์ยังคงมองดูชีวิตของเรา พร้อมปกป้องเราจากอบายมุข สิ่งชั่วร้ายที่จะเข้ามาในชีวิต เพียงแต่ให้เรามีความเชื่อและยอมรับให้พระองค์เป็นผู้นำทางชีวิต พระธรรมสุภาษิต บทที่ 2 ข้อที่ 10-12 สอนเราในเรื่องการดำเนินชีวิตไว้ว่า“เพราะปัญญาจะเข้ามาในใจของเจ้า และความรู้จะเป็นที่ร่มรื่นแก่วิญญาณจิตของเจ้า ความเฉลียวฉลาดจะคอยเฝ้าเจ้า และความเข้าใจจะระแวดระวังเจ้าไว้ ช่วยให้เจ้าพ้นจากทางแห่งคนชั่วร้าย จากคนที่พูดตลบตะแลง”
#เสียงแห่งปัญญา#voiceofwisdomรายการที่นำเสนอข้อคิด ข้อชี้แนะในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาผลิตรายการ โดย ดร.จริยา ศรมยุราติดต่อขอรับซีดี รายการวิทยุเสียงแห่งปัญญา ได้ที่ vop@voiceofpeace.orgตู้ปณ. 131 ปณจ. เชียงใหม่ 50000โทร. 053-242-654