43.คนแพ้มองที่ปัญหาแต่คนชนะมองหาทางออก

คนเราทุกคนล้วนแต่ต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตกันทั้งนั้น เช่นประสบความสำเร็จด้านการเรียน เรียนอย่างไรให้ได้เกรดดีๆ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ปลื้มใจ เรียนอย่างไรให้ได้ทุน ได้เกียรตินิยม คนมากมายที่ทำงานก็ต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเช่นกัน เช่นต้องการมีเงินเดือนสูงๆ มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีเป็นเกียรติแก่ตัวเองและครอบครัว และที่สำคัญทุกคนก็ต้องการประสบความสำเร็จในด้านชีวิตครอบครัว
ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ก็คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่ต้องการความก้าวหน้า ความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จแทบจะทุกคนย่อมเคยทำสิ่งที่ผิดพลาดมาแล้วทั้งนั้น แต่คนเหล่านั้นไม่ได้มองที่ปัญหาความผิดพลาด แต่กลับมองไปที่การหาทางออกมากกว่า พวกเขาจึงเป็นผู้ชนะและประสบความสำเร็จ
สำหรับคนที่ทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัท องค์กร หรือแม้แต่ภาครัฐ ไม่ว่าจะมีตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้างาน หรือเป็นเพียงพนักงานธรรมดาๆ ก็ตาม เชื่อว่าเราทุกคนต่างก็พยายามที่จะทำงานให้ดี แต่ในเมื่อเราเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้สมบูรณ์ เราเป็นมนุษย์ที่มีความจำกัด ไม่ว่าความจำกัดนั้นเป็นที่ตัวเราเอง หรือเป็นปัจจัยภายนอกที่ขึ้นอยู่กับผู้อื่นก็ตามดังนั้นความผิดพลาด ความล้มเหลวย่อมเกิดขึ้นได้ แต่จะได้รับความเสียหายมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกรณีนั้นๆ ความผิดพลาดของบางคนเกิดขึ้นก็เพราะไม่ละเอียด ไม่รอบคอบ ขาดความรับผิดชอบ บางคนก็เชื่องช้า บางคนทำงานด้วยความดื้อรั้นก็มี บางคนก็ทำตัวเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ทำให้ไม่สามารถร่วมงานกับผู้อื่นได้ดีและอีกมากมาย สรุปก็คือ ใครๆ ก็ทำผิดพลาดกันได้ที่สำคัญ… เมื่อผิดพลาดแล้ว นั่นคือปัญหา อย่าให้เราตกใจกลัวหรือหมกมุ่น กลุ้มใจกับปัญหา เพราะจะทำให้เราสูญเสียพลัง ไม่ว่าจะเป็นพลังความคิด พลังกาย พลังใจ ซึ่งผลทำให้เกิดความท้อแท้ หมดหวัง หมดกำลังใจอย่าลืมว่า เราจะแพ้ไม่ได้ เราต้องเป็นผู้ชนะ ยังมีทางออกอีกมากมายหลายทางที่จะขจัด แก้ปัญหาได้ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ถ้าเรามีความมุ่งมั่นที่จะทำ และต้องทำให้สำเร็จด้วย
พูดถึงปัญหาทั่วๆ ไปที่เกิดขึ้นกับพนักงานในองค์กรที่ผู้บริหาร หัวหน้างานพบกันบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรเล็กหรือใหญ่ ปัญหาหลักก็คือ พนักงานทำงานล้มเหลว ผิดพลาด จนไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายและความสำเร็จ ถ้าล้มเหลวผิดพลาดมากทำให้องค์กรได้รับความเสียหายก็อาจจะถูกว่ากล่าว ตักเตือนด้วยวาจาบ้าง เป็นลายลักษณ์อักษรบ้าง แต่ถ้าองค์กรได้รับความเสียหายมากก็อาจะถูกลดตำแหน่ง ตัดเงินเดือน ตัดโบนัส ให้พักงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน หรือถูกให้ออกจากการเป็นพนักงาน แล้วแต่กรณีไป
แน่นอน…คนที่ทำผิดพลาดย่อมคิดมาก ไม่รู้จะจัดการกับปัญหาอย่างไร บางทีรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ฟังคำแนะนำจากคนโน้นคนนี้ เช่น อย่าไปยอมรับความผิดแต่สร้างเรื่อง สร้างสถานการณ์ให้คนอื่นรับผิดแทน แทนที่จะแก้ไขในทางที่ถูกต้องแล้วจบอย่างดี กลับเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะไปพาดพิงถึงบุคคลที่สาม แต่สุดท้ายผู้ทำผิดก็กลายเป็นผู้แพ้ไปในที่สุด
ให้เราแก้ปัญหาด้วยความสัตย์ซื่อและจริงใจ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ให้เราจริงใจและจริงจังในการแก้ไขปัญหา เช่น หากเราทำเรื่องผิดพลาด เราไม่ควรปิดบังและแสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เราต้องเผชิญหน้ากับความจริงว่าความผิดพลาดก็คือความผิดพลาด ผลของมันอาจจะถูกตำหนิ ว่ากล่าว ตักเตือน ตัดเงินเดือน ลดตำแหน่ง แต่ก็ต้องพยายามรับผิดชอบการกระทำของตนเอง และอดทนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและที่สำคัญต้องไม่พยายามให้ผู้อื่นมารับผิดแทนตน หรืออ้างปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่ทำให้เกิดความผิดพลาด เพราะความผิดพลาด ความเสียหายนั้นเกิดจากตัวเราเป็นผู้กระทำ
ทุกคนย่อมผิดพลาดกันได้ เช่น อาจจะเป็นอุบัติเหตุที่ทำให้เราต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น และคนรอบข้างก็อาจจะรู้ดีว่าเราก็เพียงบังเอิญทำพลาดเท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่ไม่ราบรื่นก็ได้ แต่ก็ต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองยอมแพ้ ไม่ว่าคนอื่นจะคิดกับเราอย่างไรและจะพูดถึงเราในแง่มุมใด และในเหตุการณ์เช่นนี้ นักบริหาร นักจัดการองค์กร บริษัททั้งหลายก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ให้เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างเงียบๆ พร้อมกับทำงานอย่างเต็มความสามารถต่อไป พยายามเสริมทักษะด้านอื่นๆไปด้วย ที่สำคัญต้องไม่ยอมแพ้ ไม่สงสารตัวเอง แต่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง รอเวลาที่จะให้โอกาสเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง แล้วเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ แสดงให้เห็นว่าธาตุแท้ หรือตัวตนของเรานั้นเป็นอย่างไรอย่าลืมว่า ต้องแก้ปัญหาด้วยปัญญาและอย่างชาญฉลาด ไม่ควรตอบสนองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น โดยเฉพาะองค์กร ผู้บริหาร เพราะถ้าทำเช่นนั้น จะทำให้โอกาส และเส้นทางสู่ความสำเร็จ ปิดโดยสิ้นเชิง
มีเรื่องเล่าอยู่ว่า ชายคนหนึ่งเดินมาตามถนนที่ไกลแสนไกลพร้อมแบกสัมภาระมากมายบนหลังของเขา บังเอิญเพื่อนของเขาขับรถผ่านจึงหยุดรับเขาขึ้นรถ และชายคนนั้นก็ขึ้นรถพร้อมยังแบกสัมภาระไว้บนหลังโดยไม่เอาลง ให้เราพิจารณาว่า เราเป็นอย่างชายคนนี้ที่หรือเปล่าที่แบกภาระหนัก ปัญหามากมายไว้ในชีวิต โดยไม่ยอมปล่อยวางไม่ว่าชีวิตของเรากำลังอยู่ในวิกฤติใด ปัญหาครอบครัว ปัญหาการทำงาน ทุกปัญหามีทางออก เพียงแต่ให้เราเชื่อและยอมให้องค์พระเยซูคริสต์ เป็นผู้นำในการดำเนินชีวิต พระองค์ไม่เพียงช่วยเราในเวลาที่ทุกข์ใจ หรือเป็นที่ปรึกษาในยามที่รู้สึกอับจน แต่พระองค์ทรงล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดในใจของเรา นอกไปจากนั้นพระองค์ทรงทราบถึงแก่นแท้ของปัญหาที่เกิดขึ้นกับเรา ปัญหาที่ทำให้เราต้องอยู่ในวังวนของความทุกข์ยาก ความลำบากให้เราวางภาระหนักที่แบกไว้ในชีวิตไว้กับพระเจ้า พระองค์ทรงสัญญาว่าจะมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา เป็นชีวิตใหม่ที่เต็มล้นไปด้วยความสุข ความชื่นชมยินดี ความหวัง เป็นชีวิตใหม่ที่พระองค์จะมอบให้กับเราที่จะดำเนินชีวิตอย่างผู้มีชัยชนะ ทุกปัญหาจะมีทางออกเสมอ โดยมีพระองค์เป็นผู้ทรงนำและอยู่เคียงข้างตลอดไป พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้หนุนใจเราในเรื่องนี้ไว้ว่า “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายดหนื่อย เป็นสุข” (มัทธิว 11:28)
 
#เสียงแห่งปัญญา#voiceofwisdomรายการที่นำเสนอข้อคิด ข้อชี้แนะในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาผลิตรายการ โดย ดร.จริยา ศรมยุราติดต่อขอรับซีดี รายการวิทยุเสียงแห่งปัญญา ได้ที่ vop@voiceofpeace.orgตู้ปณ. 131 ปณจ. เชียงใหม่ 50000โทร. 053-242-654
รายการทั้งหมด