51.เวลาแห่งความรัก

ในเดือนธันวาคมของทุกปีนั้น เป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญและมีความหมายมากที่สุดสำหรับชีวิตคริสตชน ไม่เพียงผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยแต่รวมถึงผู้คนทั่วโลกที่เชื่อและดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า องค์พระเยซูคริสต์ ช่วงเทศกาลคริสต์มาส เทศกาลแห่งความรักและเทศกาลแห่งการให้ เราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแห่งความชื่นชมยินดีเห็นได้จากตามถนนหนทาง อาคาร สำนักงาน ห้างสรรพสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามโบสถ์หรือคริสตจักร จะตกแต่งประดับประดาด้วยสีสันสวยสดใส ไม่ว่าจะเป็นแสงไฟ เสียงเพลงรวมถึงต้นคริสต์มาส อันเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาส
เทศกาลคริสต์มาส… เทศกาลแห่งความรัก คริสต์มาสเป็นเวลาแห่งความรัก นั่นคือความรักของพระเจ้า วันคริสต์มาสเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซูคริสต์ซึ่งตรงกับวันที่ 25 เดือนธันวาคมของทุกปี และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลกโดยส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือ "พระเยซูคริสต์" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์การที่พระเจ้าได้ประทานพระบุตรลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะพระองค์รู้ดีว่ามนุษย์เป็นคนบาป มนุษย์ไม่สมบูรณ์ มนุษย์มีความจำกัด มนุษย์สามารถทำความผิดได้ตลอดเวลา พระเยซูจึงช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญต่อชาวคริสต์ทั่วโลก เป็นวันที่เราได้ยินข่าวดีเรื่องการประสูติของพระเยซูคริสต์
ความรักของพระเจ้าเป็นรักวิเศษ รักวิเศษนี้จะไม่มีในมนุษย์ เพราะเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข รักได้แม้แต่คนที่ไม่น่ารัก ดังคำกล่าวที่ว่า ให้เรารักเพื่อนบ้านหรือรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง และให้เรารักได้แม้กระทั่งคนที่เกลียดชังเราหรือเป็นศัตรูของเรา
การรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การรักคนอื่นให้เท่ากับรักตัวเอง นั่นก็คือเราต้องปฎิบัติกับคนอื่นให้เหมือนปฎิบัติกับตนเอง จะเป็นไปได้หรือ? ในความเป็นจริงของชีวิต …..แต่ ถ้าเราต้องรักศัตรูด้วย รักคนที่ไม่ชอบเราด้วย จะเป็นการฝืนธรรมชาติที่มากเกินไปหรือไม่ความรักนี้บัญญัติไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ซึ่งเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เช่น เราสามารถรักได้แม้กระทั่งศัตรู เป็นทัศนคติของพระเยซูคริสต์ในเรื่อง การรักศัตรู ซึ่งความรักในรูปแบบนี้มาจากคำศัพท์ในภาษากรีกที่เรียกว่าอากาเป เป็นความรักที่เรามีความปรารถนาดีต่อผู้อื่นโดยไม่มีเงื่อนไข แม้ว่าผู้นั้นจะปฎิบัติต่อเราเลวร้ายเพียงใดก็ตาม
แต่... เราจะปฎิบัติตามบัญญัตินี้ได้อย่างไร? ลองคิดดูว่าพ่อแม่ยังรักลูกไม่เท่ากันเลย พ่อแม่บางคน โกรธ น้อยใจลูกที่เลี้ยงยังไงก็ไม่ได้ดี ก็ทำให้ตัดความสัมพันธ์หรือไม่พูดกับลูกก็มี…….ครูอาจารย์บางท่าน ก็ยังไม่สามารถอดทน อดกลั้นกับความเกเรของนักเรียน นักศึกษาได้เลย สุดท้ายก็ปล่อยปละละเลยเด็กพวกที่เกเร เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้มีใจไปรัก ศัตรูได้อย่างไร
เมื่อเราพูดถึงความรักนั้นย่อมหมายถึงเรื่องของหัวใจ ซึ่งความหมายของคำกล่าวที่ว่าให้เรารักคนที่ไม่น่ารักและให้เรารักศัตรูนั้น…..เป็นทัศนคติของพระเยซูคริสต์ในเรื่องของการรักศัตรู พระองค์ไม่ได้หมายความว่าให้เราตกหลุมรักศัตรูเหมือนหนุ่มสาวที่รักกัน พระองค์ไม่ได้หมายความว่าให้เรารักศัตรูเท่าๆ กับพ่อแม่พี่น้องเรา และพระองค์ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องรักศัตรูเหมือนกับที่เรารักเพื่อนสนิทมิตรสหายของเราแต่สิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราทำคือ ต้องการให้เรามีน้ำใจกับผู้ที่ไม่ชอบ ผู้ที่เกลียดชังเรา ซึ่งเป็นการฝืนธรรมชาติและความรู้สึก แต่ก็เป็นการฝึกที่เราจะพยายามในการทำดีทุกวิถีทาง มีเมตตาต่อพวกเขา นั่นคือเราจะถูกหล่อหลอมให้เป็นคนที่มีหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักและการให้อภัยเชื่อว่าเมื่อเราทำความดีเฉพาะแก่ตนเองนั่นดีอยู่แล้ว แต่ยังดีไม่พอ เราจึงควรที่จะทำสิ่งดีๆ กับผู้อื่นด้วย เราก็จะได้รับสิ่งดีๆ กลับเข้ามาในชีวิต ดังคำกล่าวที่เราได้ยินกันว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “เราหว่านอย่างไร เราก็จะเกี่ยวอย่างนั้น” หว่านความรัก ความดีงาม… เราก็จะได้รับความสุข ความชื่นชมยินดี ... หว่านความเกลียดชังให้ผู้อื่น เราก็จะรับความทุกข์ ความไม่สบายใจ
สิ่งที่เรากำลังพุดถึงกันอยู่นี้คือบัญญัติรัก เป็นบัญญัติที่พระเยซูคริสต์ต้องการให้คริสตชนยึดถือไว้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต เพื่อเราทุกคนจะดำเนินชีวิตที่มีพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดี จะได้เป็นบุตรของพระองค์อย่างแท้จริง เป็นบุตรแห่งความสว่างนั่นหมายถึงเป็นคนดี ถ้าเราฝึกใจ ปรับใจ ปรับทัศนคติ มีหัวใจของการเป็นผู้ให้อภัย รักผู้อื่นได้แม้เขาจะไม่น่ารัก เราก็จะมีความสุข
เทศกาลคริสต์มาสเริ่มจากพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ประทานของขวัญอันล้ำค่าที่สุดแก่มนุษย์มอบให้ด้วยความรักที่มีแก่มนุษย์ เป็นของขวัญอันเป็นที่มาของวันคริสต์มาสดังนั้นเทศกาลคริสต์มาสแรกจึงเป็นการให้ของพระเจ้าแก่มนุษย์คือ การให้โดยการบอกข่าวดีแก่มนุษย์ บอกข่าวประเสริฐแก่พวกคนเลี้ยงแกะ เรื่องพระผู้ไถ่ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ และพวกโหราจารย์ได้นำทองคำ กำยาน และ มดยอบ มาถวายแด่พระกุมารเยซู ดังนั้นธรรมเนียมหรือเทศกาลของการให้จึงเริ่มขึ้นในวันที่พระเยซูคริสต์มาบังเกิด คือวันคริสต์มาส
คริสต์มาสเป็นเวลาแห่งความรัก เป็นความรักที่เริ่มต้นจากพระเจ้าและส่งต่อมายังมวลมนุษย์ ให้เรารักซึ่งกันและกัน ให้เรารักแม้คนที่ไม่น่ารัก ให้เราอภัยกันเหมือนที่พระเจ้าให้อภัยเราเมื่อเราทำผิดบาป คริสต์มาสไม่เพียงแต่เป็นเทศกาลแห่งการให้ การมอบของขวัญ สิ่งดีๆให้แก่กัน คริสต์มาสยังเป็นเทศกาลที่จะมอบความรัก ความปรารถนาดีให้แก่กันอีกด้วย
คริสต์มาสเป็นเวลาแห่งความรัก ก็คือความรักของพระเจ้า ดังนั้นวันคริสต์มาสจึงเป็นวันที่เราได้ยินข่าวดีที่พระเจ้าผู้ทรงรักเรา ได้ประทานพระบุตรองค์เดียวลงมาบังเกิดเพื่อช่วยเราที่เป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ เป็นของขวัญซึ่งแสดงถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไข สำแดงถึงความเสียสละที่เราสัมผัสได้ และเป็นของขวัญที่ทุกคนเข้าถึงได้ และสามารถรับของขวัญนี้ได้ แต่การรับ “ของขวัญแห่งความรักคือองค์พระเยซูคริสต์” นี้ขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคนในความเชื่อของคริสตชน เมื่อเรารับของขวัญแห่งความรักคือพระเยซูคริสต์ เข้ามาในชีวิตแล้ว ของขวัญชิ้นนี้จะนำพระพร ความสุข สันติสุข ความชื่นชมยินดีและการดำเนินชีวิตด้วยความหวังมาสู่ชีวิตและไม่มีพระคัมภีร์ข้อไหนที่ให้ความหมายของวันคริสต์มาสได้ดีเท่ากับข้อพระคัมภีร์ที่ว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์“ (ยอห์น 3:16)
 
#เสียงแห่งปัญญา#voiceofwisdomรายการที่นำเสนอข้อคิด ข้อชี้แนะในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาผลิตรายการ โดย ดร.จริยา ศรมยุราติดต่อขอรับซีดี รายการวิทยุเสียงแห่งปัญญา ได้ที่ vop@voiceofpeace.orgตู้ปณ. 131 ปณจ. เชียงใหม่ 50000โทร. 053-242-654
รายการทั้งหมด